เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ไม่ควรประกอบตนนั้นด้วยความชั่ว
ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ไม่ควรประกอบตนนั้นด้วยความชั่ว

พุทธศาสนสุภาษิตบทว่า “ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ไม่ควรประกอบตนนั้นด้วยความชั่ว” มาจากพระบาลีบทว่า อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺญา น นํ ปาเปน สํยุเช. (สํ. ส. ๑๕/๑๐๔.) สอนให้เรารู้จักรักษาคุณค่าของตนเอง และไม่ทำในสิ่งที่ผิด เพราะการทำความชั่วจะทำให้ตนเองและผู้ที่รักเราต้องเสียใจ

“ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ไม่ควรประกอบตนนั้นด้วยความชั่ว” หมายถึง การตระหนักว่าตนเองมีคุณค่าและเป็นที่รักของผู้อื่น จึงไม่ควรทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม หรือประพฤติชั่วที่จะทำให้ตนเองและผู้ที่รักตนเดือดร้อน คำสอนนี้เน้นการรักษาตนให้ดำรงอยู่ในความดีงามและศักดิ์ศรี เพื่อความสุขของตนเองและผู้คนรอบ

ความหมายโดยละเอียด

  • ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก: หมายถึง การตระหนักและเห็นคุณค่าในตนเอง รู้ว่าตนเองมีคนที่รักและห่วงใย เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร ครูบาอาจารย์ ฯลฯ
  • ไม่ควรประกอบตนนั้นด้วยความชั่ว: หมายถึง ไม่ควรทำในสิ่งที่ผิดทั้งทางกาย วาจา และ ใจ เช่น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด พูดส่อเสียด ฯลฯ
  • รักษาคุณค่าของตนเอง: การไม่ทำความชั่วเป็นการรักษาคุณค่า และ ศักดิ์ศรีของตนเอง ทำให้เป็นที่รักและนับถือของผู้อื่น
  • ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น: การกระทำของเราไม่เพียงส่งผลต่อตนเอง แต่ยังส่งผลถึงผู้ที่รักเราด้วย ดังนั้น เราจึงควรระมัดระวังไม่ทำในสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องเสียใจ หรือ เดือดร้อน

ตัวอย่างสถานการณ์

  • นักเรียนที่รู้ว่าพ่อแม่รักและหวังดีจึงตั้งใจเรียน ไม่เกเรหรือทำในสิ่งที่ผิด
  • พนักงานที่รู้ว่าหัวหน้าให้โอกาสและไว้วางใจจึงตั้งใจทำงานไม่ทุจริตหรือละเลยหน้าที่
  • ลูกที่รู้ว่าพ่อแม่รักและเป็นห่วงจึงประพฤติตนเป็นคนดีไม่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ

ประโยชน์ของการ “ไม่ประกอบตนด้วยความชั่ว”

  • เป็นที่รักและนับถือของผู้อื่น
  • รักษาคุณค่าและศักดิ์ศรีของตนเอง
  • มีความสุขทางใจไม่ต้องรู้สึกผิด
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
  • เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น

สรุป

พุทธศาสนสุภาษิตบทนี้ สอนให้เรารู้จักรักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้ที่รักเรา การไม่ทำความชั่วไม่เพียงแต่ทำให้เราเป็นคนดี แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความรักและความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....