
พระสารีบุตร เกิดในบ้านชื่อว่า นาลกะ หรือ นาลันทา ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ บิดาชื่อว่า วังคันตพราหมณ์ มารดาชื่อว่า นางสารีพราหมณี เดิมชื่อว่า อุปติสสะ เมื่อมาบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อนพรหมจารีเรียกท่านว่า พระสารีบุตร เพราะเป็นบุตรนางสารี
อุปติสสมาณพนั้น เป็นบุตรแห่งสกุลผู้บริบูรณ์โดยโภคสมบัติและบริวาร ได้เรียนรู้ศิลปศาสตร์ เป็นมิตรชอบพอกันกับโกลิตมาณพ โมคคัลลาโคตร ผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน บุตรแห่งสกุลผู้มั่งคั่งเหมือนกัน สองสหายนั้น ไปเที่ยวดูการแสดงมหรสพในกรุงราชคฤห์เป็นประจำ เมื่อดูอยู่นั้น ย่อมร่าเริงในเวลาควรร่าเริง สลดใจในเวลาควรสลดใจ ให้รางวัลในเวลาควรให้
วันหนึ่ง เขาทั้งสอง ก็ชวนกันไปดูมหรสพเหมือนอย่างวันก่อน แต่ไม่ร่าเริงเหมือนในวันก่อน ๆ โกลิตะจึงถามอุปติสสะว่า ดูท่านไม่สนุกเหมือนในวันอื่น วันนี้ดูใจเศร้า ท่านเป็นอย่างไรหรือ อุปติสสะตอบว่า อะไรที่ควรดูในการแสดงนี้มีหรือ คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทัน ถึง ๑๐๐ ปี ก็จะไม่มีเหลือ จะล่วงไปหมด ดูการมหรสพไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวาย หาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า ข้านั่งคิดอยู่อย่างนี้ส่วนเจ้าเล่า เป็นอย่างไร
โกลิตะกล่าวว่า ข้าก็คิดเหมือนอย่างนั้น สองสหายนั้น มีความเห็นร่วมกันอย่างนั้นแล้ว จึงพาบริวารไปขอบวชอยู่ในสำนักของสัญชัยปริพาชก เรียนลัทธิสมัยของอาจารย์ได้ทั้งหมดแล้ว ท่านจึงให้เป็นผู้ช่วยสั่งสอนหมู่ศิษย์ต่อไป สองสหายนั้นก็ปฏิเสธเพราะยังไม่มั่นใจในลัทธิของอาจารย์ จึงนัดหมาย กันว่าใครได้โมกขธรรมก่อนจงบอกแก่กัน
ครั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงธรรมสั่งสอนประชุมชนประกาศพระศาสนา เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน วันหนึ่ง พระอัสสชิ ผู้นับเข้าในพระปัญจวัคคีย์ ผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งให้จาริกไปประกาศพระพุทธศาสนากลับมาเฝ้า เข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ อุปติสสปริพาชก เดินมาจากสำนักของปริพาชกได้เห็นท่านมีอาการน่าเลื่อมใส จะก้าวไป ถอยกลับ เหลียวซ้ายแลขวา คู้แขน เหยียดแขนเรียบงามทุกอิริยาบถ ทอดจักษุ แต่พอประมาณ มีอาการแปลกจากบรรพชิตในครั้งนั้น อยากจะทราบความว่าใครเป็นศาสดาของท่าน แต่ยังไม่อาจถามได้ ด้วยเห็นว่าเป็นกาลไม่ควร ท่านยังเที่ยวไปบิณฑบาตอยู่ จึงติดตามไปข้างหลัง
ครั้นเห็นท่านกลับจากบิณฑบาตแล้ว จึงเข้าไปใกล้ พูดปราศรัยแล้วถามว่า ผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านหมดจดผ่องใส ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาผู้สอนของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร พระเถระตอบว่า ผู้มีอายุ เราบวชอุทิศพระมหาสมณะ ผู้เป็นโอรส ศากยราชออกจากศากยสกุล ท่านนั้นเป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของท่านนั้น ปริพาชก ถามต่อไปว่า พระศาสดาของท่านสั่งสอนอย่างไร พระเถระตอบว่า ผู้มีอายุ เราเป็นผู้ใหม่ บวชยังไม่นาน พึ่งมายังพระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านโดยกว้างขวาง เราจะกล่าว ความแก่ท่านแต่โดยย่อพอรู้ความ ปริพาชกจึงขอให้ท่านแสดงตามความสามารถ จะน้อย หรือมากก็ตาม พระอัสสชิ จึงกล่าวคาถาว่า
ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และ เหตุแห่งความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้
อุปติสสปริพาชกได้เท่านั้นก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วถามพระเถระว่า พระศาสดาของเราประทับอยู่ที่ไหน พระเถระตอบว่า ผู้มีอายุ พระศาสดา ประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน ปริพาชกกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าไปก่อนเถิด กระผมจะกลับไปบอกสหาย จะพากันไปเฝ้าพระศาสดา
ครั้นพระเถระไปแล้ว ก็กลับมาสำนักของปริพาชก บอกข่าวที่ได้ไปพบพระอัสสชิให้โกลิตปริพาชกทราบ แล้วแสดงธรรมนั้นให้ฟัง โกลิตปริพาชกก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเหมือนอุปติสสะ แล้วชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่พากันไปลาสัญชัยผู้เป็นอาจารย์เดิมก่อน ท่านสัญชัยปริพาชกห้ามไว้และอ้อนวอนให้อยู่ช่วยสอนศิษย์หลายครั้ง แต่สองสหายนั้นก็ไม่ฟังพาบริวาร 250 คน ไปวัดเวฬุวันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลขออุปสมบท พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น
ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้เป็นบริวารได้สำเร็จอรหัตผลก่อน ฝ่ายพระโมคคัลลานะ อุปสมบทได้ ๗ วัน จึงได้ส าเร็จอรหัตผล
ฝ่ายพระสารีบุตรหลังจากบวชแล้วได้ ๑๕ วัน เข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำสุกรขาตาแห่งเดียวกับพระพุทธเจ้า ขณะถวายงานพัดเพื่อปรนนิบัติอยู่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมชื่อว่า เวทนาปริคคหสูตร แก่ฑีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลานชายของท่าน ท่านได้ส่งญาณไปตามกระแสแห่งพระธรรมก็ได้บรรลุอรหัตผล เหมือนกับผู้บริโภคอาหารที่เขาตักให้คนอื่น ส่วนฑีฆนขปริพาชก เป็นแต่ได้ดวงตาเห็นธรรม สิ้นความเคลือบแคลงสังสัยในพระพุทธศาสนา ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาและแสดงตนเป็นอุบาสก
พระสารีบุตรนั้นเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ได้เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธเจ้าในการสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระองค์ทรงยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะผู้ยอดเยี่ยมกว่าภิกษุ ทั้งหลายด้านมีปัญญามาก เป็นผู้สามารถแสดงธรรมจักรและอริยสัจ ๔ ให้กว้างขวางพิสดาร เหมือนกับพระองค์ ถ้ามีภิกษุมาทูลลาจะเที่ยวจาริกไปทางไกลมักตรัสให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน เพื่อท่านจะได้สั่งสอนเธอทั้งหลาย เช่นครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่เมืองเทวทหะ ภิกษุเป็นอันมากเข้าไปเฝ้าพระองค์ ทูลลาจะไปปัจฉาภูมิชนบท พระองค์ตรัสถามว่า ท่านทั้งหลาย บอกสารีบุตรแล้วหรือ ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ยังไม่ได้บอก จึงตรัสสั่งให้ไปลาพระสารีบุตร แล้วทรงยกย่องว่า พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญามาก อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิต ภิกษุเหล่านั้นก็ไปลาตามรับสั่ง

พระพุทธเจ้าตรัสยกย่องพระสารีบุตรเป็นคู่กับพระโมคคัลลานะ ดังตรัสกับภิกษุ ทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคบกับสารีบุตรและโมคัลลานะเถิด เธอเป็นผู้มีปัญญามาก อนุเคราะห์สพรหมจารีเพื่อนบรรพชิตทั้งหลาย สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้วนั้น สารีบุตรย่อมแนะนำ ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบนที่สูงกว่านั้น
มีคำเรียกยกย่องพระสารีบุตรอีกอย่างหนึ่งว่า พระธรรมเสนาบดีนี้เป็นคำเลียนแบบมาจากคำเรียกแม่ทัพ ดังจะกลับความให้ตรงกันข้ามกองทัพอันทำยุทธ์ยกไปถึงไหน ย่อมแผ่อนัตถะถึงนั่น กองพระสงฆ์ผู้ประกาศพระศาสนาได้ชื่อว่าธรรมเสนา กองทัพฝ่ายธรรมหรือประกาศธรรมจาริกไปถึงไหน ย่อมแผ่หิตสุขถึงนั่น พระพุทธเจ้าเป็นจอมธรรมเสนา เรียกว่า พระธรรมราชา พระสารีบุตรเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธเจ้า ในภาระธุระนี้ ได้สมญาว่า พระธรรมเสนาบดี นายทัพฝ่ายธรรม
พระสารีบุตรนั้น ปรากฏโดยความเป็นผู้กตัญญู ท่านได้ฟังธรรมที่พระอัสสชิแสดง ได้ธรรมจักษุแล้ว มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ดังกล่าวแล้วในหนหลัง ตั้งแต่นั้นมา ท่าน นับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ มีเรื่องเล่าว่า พระอัสสชิอยู่ในทิศใด เมื่อท่านจะนอน ท่านจะนมัสการไปทางทิศนั้นก่อนและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
ภิกษุผู้ไม่รู้เรื่อง ย่อมสำคัญว่า ท่านนอบน้อมทิศตามลัทธิของพวกมิจฉาทิฏฐิ ความทราบถึงพระพุทธเจ้า ตรัสแก้ว่า ท่านมิได้ นอบน้อมทิศ ท่านนมัสการพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์ แล้วประทานพระพุทธานุศาสนีว่า พุทธมามกะ รู้แจ้งธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงแล้วจากท่านผู้ใด ควรนมัสการท่านผู้นั้น โดยเคารพ เหมือนพราหมณ์บูชายัญอันเนื่องด้วยเพลิง
อีกเรื่องหนึ่งว่า มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง ชื่อราธะ ปรารถนาจะอุปสมบท แต่เพราะเป็น ผู้ชราเกินไป ภิกษุทั้งหลายไม่รับอุปสมบทให้ ราธะเสียใจ เพราะไม่ได้สมปรารถนา มีร่างกาย ซูบซีดผิวพรรณไม่สดใส พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นผิดปกติไป ตรัสถามทราบความแล้ว ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง
พระสารีบุตรกราบทูลว่า ท่านระลึกได้อยู่ ครั้งหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ราธะได้ถวายภิกษาแก่ท่าน ทัพพีหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่า ท่านเป็นผู้กตัญญูดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ ก็ยังจำได้ไม่ลืม จึงตรัสให้ท่านรับบรรพชาอุปสมบทราธพราหมณ์
ท่านบวชได้ ๔๕ พรรษา ทูลลาพระพุทธเจ้าไปโปรดมารดาที่บ้านเกิด ให้มารดาได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ใกล้รุ่งวันเพ็ญเดือน ๑๒ ก็ดับขันธนิพพาน รุ่งขึ้น พระจุนทะน้องชาย ได้ทำฌาปนกิจ เก็บอัฐิธาตุไปถวายพระพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงโปรดให้ ก่อพระเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุไว้ ณ ที่นั้น