เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

พระสิวลี
พระสีวลี

พระสีวลี เป็นพระโอรสของพระนางสุปปวาสา ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงโกลิยะ จำเดิมแต่ปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ก็มิได้ทำพระมารดาให้ลำบาก แต่กลับทำพระมารดาให้สมบูรณ์ด้วยลาภสักการะ ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ เมื่อครบกำหนดจึงประสูติโดยง่าย เหมือนน้ำไหลออกจากหม้อน้ำ

สาเหตุที่พระสีวลีอยู่ในครรภ์นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เป็นเพราะบุรพกรรม ในอดีตของท่าน มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง ท่านเคยเป็นกษัตริย์ ยกกองทัพไปล้อมเมืองหนึ่งไว้  นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในกาลนั้น พระนางสุปปวาสา เป็นพระชนนีให้โอรสของพระองค์ กักประตูไม่ให้ชาวพระนครออกได้ ชาวพระนครจึงฆ่าพระราชาของตนแล้วถวายเมือง  ด้วยกรรมนั้นตามให้ผลในชาตินี้ พระนางสุปปวาสาผู้มารดา ขณะที่ทรงพระครรภ์แก่ คิดขึ้นได้ว่า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเพื่อละทุกข์ได้ พระสงฆ์ปฏิบัติเพื่อละทุกข์ได้พระนิพพานเป็นสุข

พระนางปรารภกับพระสวามี ปรารถนาจะถวายทานก่อนที่จะทิวงคต จึงส่งพระสวามีไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อไปกราบทูลเรื่องนี้แล้วนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมกับกำชับว่า ถ้าพระองค์ ตรัสคำใด ขอให้ตั้งใจจดจำคำนั้นให้ดีแล้วกลับมาบอกพระนาง พระสวามีจึงเดินทางไปแล้ว กราบทูลข่าวแด่พระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขอพระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา จงมีความสุข จงมีความสบาย ไม่มีโรค จงคลอดบุตรที่หาโรคมิได้เถิด พระสวามีได้ยินดังนั้น จึงถวายบังคมพระศาสดา ทรงมุ่งหน้าเสด็จกลับพระราชนิเวศน์

ในเวลาเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเสร็จ พระกุมารก็คลอดจากพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสาอย่างสะดวก เหล่าพระญาติและบริวารที่นั่งล้อมอยู่เริ่มหัวเราะ ทั้งที่หน้านองด้วยน้ำตา มหาชนยินดีแล้ว ร่าเริงแล้ว ได้กราบทูลข่าวที่น่ายินดีแด่พระราชาที่กำลังเสด็จกลับ พระราชาเห็นอาการของชนเหล่านั้นก็ทราบว่า พระดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสเห็นและเป็นผลแล้ว จึงเล่าเรื่องของพระพุทธเจ้านั้นแด่พระราชธิดา การประสูติของทารกได้ดับจิตที่เร่าร้อนของพระประยูรญาติทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามของ กุมารนั้นว่า สีวลี

เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกัน เป็นเวลา ๗ วัน จึงแจ้งความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ตลอด ๗ วัน ในวัน ถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ าดื่ม  และอังคาสพระพุทธเจ้าและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมารช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลาและเกิดความรู้สึกพอใจ ในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก

ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมาร แล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมารผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตาม พระเถระไปยังพระอาราม

พระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา (ขน) นขา (เล็บ) ทันตา (ฟัน)  ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่า เป็นของไม่งาม เป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึด ติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้

สีวลีกุมารได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณา ในขณะที่จรด มีดโกนเพื่อโกนผมครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็น พระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถี พระสีวลีเถระถวายอภิวาท แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะทดลองบุญของข้าพระองค์ ขอพระองค์ จงมอบภิกษุ ๕๐๐ รูปแก่ข้าพระองค์ พระพุทธเจ้าตรัสสั่งว่า จงรับไปเถิดสีวลี ท่านพาภิกษุ  ๕๐๐ รูป แล้วเดินทางบ่ายหน้าไปสู่หิมวันตประเทศ ผ่านดงที่เทวดาสิงอยู่ที่ต้นไทรที่เห็นเป็นครั้งแรก เทวดานั้นได้ถวายทานตลอด ๗ วัน เทวดาทั้งหลายได้ถวายทานทุก ๆ ๗ วัน  ในสถานที่ทั่ว ๆ ไป ที่ท่านเห็นต่างกรรมต่างวาระกันดังนี้ คือ

พระสีวลีพร้อมด้วยคณะ
พระสีวลีพร้อมด้วยคณะ

ท่านเห็นต้นไทรเป็นครั้งแรก เห็นภูเขาชื่อว่าปัณฑวะเป็นครั้งที่ ๒ เห็นแม่น้ำจิรวดี  เป็นครั้งที่ ๓ เห็นแม่น้ำวรสาครเป็นครั้งที่ ๔ เห็นภูเขาหิมวันต์เป็นครั้งที่ ๕ ถึงป่าฉัททันต์  เป็นครั้งที่ ๖ ถึงภูเขาคันธมาทน์เป็นครั้งที่ ๗ และพบพระเรวตะ เป็นครั้งที่ ๘

ประชาชนทั้งหลาย ได้ถวายทานในที่ทุกแห่งตลอด ๗ วันเท่านั้น ก็ในบรรดา ๗ วัน  นาคทัตตเทวราช ที่ภูเขาคันธมาทน์ ได้ถวายบิณฑบาตชนิดน้ำนม (ขีรบิณฑบาต) สลับวันกับถวายบิณฑบาตชนิดเนยใส (สัปปิบิณฑบาต) วันเว้นวัน

ลำดับนั้นภิกษุสงฆ์ จึงถามท่านเทวราชว่า ของที่ท่านนำมาถวายนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อแม่โคนมที่เขารีดนมถวาย แด่เทวราชนี้ก็มิได้ปรากฏ การบีบทำน้ำนมส้มก็มิได้ปรากฏ นาคทัตตเทวราช ตอบว่า นี้เป็นอานิสงส์แห่งการถวายสลากภัตรน้ำนมในกาลแห่งพระกัสสปทศพล

ต่อมา พระพุทธเจ้าทรงอ้างเหตุแห่งการที่พระขทิรวนิยเถระจัดการต้อนรับให้เป็น อัตถุปปัตติเหตุ (เหตุเกิดแห่งเรื่อง) ในการที่ทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุ ผู้เลิศในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์ในเรื่องนี้ มีเหตุเกิดขึ้นอย่างนี้

ในสมัยหนึ่ง พระขทิรวนิยเรวตเถระ ซึ่งเป็นน้องชายของพระสารีบุตรได้หนีการแต่งงานที่บิดามารดาจัดการให้มาขอบวชในสำนักพระภิกษุซึ่งมีภิกษุอยู่ประมาณ ๓๐ รูป  เหล่าพระภิกษุสอบถามดู ทราบว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตรที่ท่านได้เคยแจ้งไว้ก่อนว่า  ถ้าน้องชายมาขอบวชก็อนุญาตให้บวชได้ จึงได้ทำการบวชให้แล้วส่งข่าวมายังท่านพระสารีบุตร

ครั้งนั้น เมื่อพระสารีบุตรทราบข่าวดังนั้น จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าเพื่อขอไปเยี่ยม  พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า พระเรวตะ เริ่มทำความเพียรเจริญวิปัสสนาจึงทรงห้ามพระสารี บุตรถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ เมื่อพระสารีบุตรทูลอ้อนวอนอีก ทรงทราบว่า พระเรวตะบรรลุอรหันตผลแล้วจึงทรงอนุญาต และตรัสว่าจะทรงไปด้วยพร้อมเหล่าพระสาวกอื่น

พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวารก็ได้เสด็จออกไปด้วยพระประสงค์ว่าจะไปเยี่ยมพระเรวตะ ครั้นเดินทางมาถึง ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นหนทาง ๒ แพร่ง พระอานนเถระกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตรงนี้มีหนทาง ๒ แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้า ตรัสถามว่า อานนท์หนทางไหนเป็นหนทางตรง พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หนทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐ โยชน์ แต่เป็นหนทางที่มีอมนุษย์  ส่วนหนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัยหาภิกษาได้ง่าย พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ สีวลีได้มาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ

พระอานนท์ กราบทูลว่า ใช่ พระสีวลีมาแล้วพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น พระสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรงนั้นแหละ เราจะได้ ทดลองบุญของพระสีวลี

พระพุทธเจ้ามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์เพื่อจะทรง ทดลองบุญของพระสิวลีเถระ จำเดิมแต่ที่ได้เสด็จไปตามหนทาง หมู่เทวดาได้เนรมิตพระนครในทุก ๆ โยชน์ ช่วยกันจัดแจงพระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับและที่อยู่แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  พวกเทวบุตร ได้ถือข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น ไปเที่ยวถามอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าสีวลีไปไหน  ดังนี้แล้ว จึงไปหาพระเถระ พระเถระจึงให้นำเอาสักการะและสัมมานะเหล่านั้นไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์พร้อมทั้งบริวารเสวยบุญของพระสิวลีเถระผู้เดียวได้เสด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์

ฝ่ายพระเรวตเถระ ทราบการเสด็จมาของพระพุทธเจ้า จึงเนรมิตพระคันธกุฎีเพื่อพระพุทธองค์ นิรมิตเรือนยอด ๕๐๐ ที่จงกรม ๕๐๐ ที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ๕๐๐  พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในสำนักของพระเรวตะเถระนั้นสิ้นกาลประมาณเดือนหนึ่ง แม้ประทับอยู่ในที่นั้น ก็เสวยบุญของพระสีวลีนั่นเอง แม้พระพุทธองค์พาภิกษุสงฆ์ไปก็เสวยบุญของพระสีวลีเถระตลอดกาลประมาณเดือนหนึ่งนั่นแลอีก เสด็จเข้าไปสู่บุพพารามตามลำดับ

ในกาลต่อมา พระพุทธเจ้าประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าแล้วทรงสถาปนาพระเถระนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าพวก ภิกษุสาวกของเราผู้มีลาภ

ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสิวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติเป็นปัจจัย ส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายมิได้ขาดตกบกพร่องไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้น 

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัท ตรัสยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้มีลาภมาก นับว่าท่านพระสิวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการพระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธนิพาน


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....