
พระอุรุเวลกัสสปะ เกิดในตระกูลพราหมณ์กัสสปโคตร มีน้องชาย ๒ คน ชื่อนทีกัสสปะ และคยากัสสปะ เมื่อเจริญวัยท่านได้เรียนจบไตรเพท ตามลัทธิและประเพณีของพราหมณ์ ท่านอุรุเวลกัสสปะ มีบริวาร ๕๐๐ คน พาน้องชาย ๒ คน มีบริวารท่านละ ๒๕๐ คน รวมทั้งหมด ๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นชฎิล ตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา แคว้นมคธ จึงได้ชื่อว่าอุรุเวลกัสสปะ บำเพ็ญพรตด้วยการบูชาไฟ
พระพุทธเจ้าทรงดำริว่า ควรจะนำอุรุเวลกัสสปะผู้มีอายุมาก เป็นที่นับถือของมหาชนมาเป็นกำลังในการประกาศพระศาสนาที่แคว้นมคธ เพราะท่านเป็นที่นับถือของชนในแคว้นนั้นมาช้านาน จึงเสด็จพระองค์เดียวไปยังอุรุเวลานิคม ตรัสขอพำนักอาศัยในอาศรมของอุรุเวลกัสสปชฎิล แรก ๆ ไม่ยอมให้ทรงพำนัก แต่ถูกพระพุทธเจ้าทรงทรมานด้วยอภินิหารต่าง ๆ เห็นว่าลัทธิของตนไม่มีสาระก็เกิดความสลดใจละลัทธินั้นเสีย พากันลอยบริขารแห่ง ชฎิลในแม่น้ำแล้วทูลขอบวชพร้อมทั้งบริวาร ๕๐๐ คน
เมื่ออุรุเวลกัสสปะพร้อมทั้งบริวาร ลอยบริขารและเครื่องบูชาไฟไปในแม่น้ำน้องชายทั้งสองเห็นเช่นนั้น กลัวว่าจะมีภัยเกิดกับพี่ชายจึงพากันมาดู พอทราบเรื่องราวความเป็นไปต่าง ๆ จึงขอบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า พร้อมกับบริวารทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ แล้วทรงพาภิกษุ ๑,๐๐๓ รูปนั้น เสด็จไปยังตำบลคยาสีสะ ประทับนั่งบนแผ่นหิน ทรงให้ภิกษุทั้งหมดนั้นดำรงอยู่ในอรหัตผลด้วย อาทิตตปริยายเทศนา ใจความ ย่อแห่งอาทิตตปริยายเทศนาว่า
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ เพราะ ความตาย เพราะความเศร้าโศก เพราะความคร่ำครวญ เพราะความทุกข์ เพราะความโทมนัส เพราะความคับแค้นใจ
พระอุรุเวลกัสสปะเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ตามตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงพาภิกษุ ๑,๐๐๓ องค์นั้น เสด็จไปถึงเมืองราชคฤห์ ประทับที่สวนตาลหนุ่ม ชื่อลัฏฐิวัน พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธทรงทราบข่าว จึงพร้อมด้วยข้าราชบริพารเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าพระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสาร มีกิริยาอาการไม่อ่อนน้อม จึงตรัสสั่งให้พระอุรุเวลกัสสปะ ประกาศให้คนเหล่านั้นทราบว่า ลัทธิของท่านไม่มีแก่นสาร คนเหล่านั้นสิ้นความสงสัย ตั้งใจ ฟังพระเทศนาอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔
เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ ส่วน ได้ดวงตาเห็นธรรม คือบรรลุโสดาปัตติผล อีก ๑ ส่วน ดดำรงอยู่ในสรณคมน์ พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นผู้รู้จักเอาใจใส่บริษัท จึงทำให้มีคนเลื่อมใสศรัทธาในตัว ท่านมาก มีบริวารมากถึง ๕๐๐ คน ฉะนั้น จึงได้รับการยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะผู้ยอดเยี่ยม กว่าภิกษุทั้งหลายด้านผู้มีบริวารมาก ท่านดำรงชีพอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธนิพพาน