
พระมหากัจจายนะ เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิตกัจจายนโคตรของพระเจ้าจัณฑปัชโชติ ในกรุงอุชเชนี เดิมชื่อว่า กัญจนะ เพราะมีผิวกายเหมือนทองคำ แต่คนทั่วไป เรียกตามโคตรว่า กัจจานะหรือกัจจายนะ เมื่อเจริญวัยได้ศึกษาจบไตรเพท ได้รับต าแหน่ง ปุโรหิตแทนบิดา
ในคราวพุทธุปบาทกาล พระเจ้าจัณฑปัชโชติ ได้ทรงสดับว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงสั่งสอนประชุมชน ธรรมที่ทรงแสดงนั้น เป็นธรรมอันแท้จริง ให้สำเร็จประโยชน์ แก่ผู้ปฏิบัติตาม มีพระราชประสงค์ใคร่ที่จะเชิญเสด็จพระพุทธเจ้ามาประกาศพระศาสนา ที่กรุงอุชเชนี จึงตรัสกัจจายนปุโรหิตไปเชิญเสด็จ กัจจายนปุโรหิตทูลลาจะบวชด้วย
ครั้นทรงอนุญาตแล้ว ออกจากกรุงอุชเชนีพร้อมด้วยบริวาร ๗ คน มาถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้าแล้ว เข้าไปเฝ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนา บรรลุอรหัตผลพร้อมทั้ง ๘ คนแล้ว ทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุ ท่านทูลเชิญเสด็จไปกรุงอุชเชนีตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชติ พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า ท่านไปเองเถิด เมื่อท่านไปแล้ว พระเจ้าแผ่นดินจักทรงเลื่อมใส ท่านถวายบังคมลา พาภิกษุบริวาร ๗ รูป กลับไปกรุงอุชเชนี ประกาศพระพุทธศาสนาให้พระเจ้าจัณฑปัชโชติและชาวพระนครเลื่อมใสแล้ว กลับมาสำนักพระพุทธเจ้า
พระมหากัจจายนะนั้น เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายความแห่งคำที่ย่อให้พิสดาร พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะผู้ยอดเยี่ยมกว่าภิกษุทั้งหลายด้านผู้อธิบายความย่อให้พิสดาร วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมว่า ผู้มีปัญญา ไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรจะมุ่งหมายสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะว่าสิ่งที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละเสียแล้ว สิ่งใด ยังมาไม่ถึงแล้ว สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้มาถึง ผู้ใดเห็นแจ้งในพระธรรมที่เกิดขึ้นจำเพราะหน้าในที่นั้น ๆ ในกาลนั้น ๆ ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ครั้นรู้ธรรมนั้นแล้วพึงให้ธรรมนั้นเจริญ เนือง ๆ ความเพียรควรทำเสียในวันนี้แล ใครเล่าจะพึงรู้ว่า ความตายจะมีต่อพรุ่งนี้ เพราะว่า ความผัดเพี้ยนต่อมฤตยูราชที่มีเสนาใหญ่ ไม่มีเลย ผู้รู้ที่เป็นคนสงบระงับ ย่อมกล่าวสรรเสริญ ผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท อย่างนี้ว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญ
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เสด็จลุกเข้าวิหารที่ประทับ ภิกษุทั้งหลายไม่ได้ช่องเพื่อจะกราบทูลถามความแห่งคำที่ตรัสโดยย่อให้เข้าใจกว้างขวาง เห็นความสามารถของพระกัจจายนะจึงไปหาอาราธนาให้ท่านอธิบาย ท่านอธิบายให้ภิกษุเล่านั้นฟังโดยพิสดาร แล้วกล่าวว่า ถ้าท่านทั้งหลายไม่เข้าใจ ก็จงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามความนั้นเถิด พระองค์ทรงแก้อย่างไร จงจำไว้อย่างนั้นเถิด

ภิกษุเล่านั้น ลาพระกัจจายนะกลับมาเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลความนั้นให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสสรรเสริญพระกัจจายนะว่า ภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็คง แก้เหมือนกัจจายนะแก้แล้วอย่างนั้น ความของธรรมที่เราแสดงแล้วโดยย่อนั้น อย่างนั้น ท่านทั้งปวงจำไว้เถิด พระกัจจายนะเป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคำที่ย่อให้กว้างขวาง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญในทางนั้น มีดังนี้เป็นตัวอย่าง
ครั้งหนึ่ง พระกัจจายนะ อยู่ ณ เขาโกรก คือ มีทางขึ้นด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นโกรก อีกนัยหนึ่งว่าอยู่ ณ ภูเขาชื่อปวัตตะ แขวงเมืองกุรรฆระ ในอวันตีชนบท อุบาสกคนหนึ่งชื่อ โสณกุฏิกัณณะผู้อุปัฏฐากของท่านปรารถนาจะบวช ได้อ้อนวอนขอให้ท่านสงเคราะห์เนือง ๆ มาในที่สุด ท่านรับบรรพชาให้
ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าประทานพุทธานุญาตให้พระสงฆ์เป็นเจ้าหน้าที่รับอุปสมบทคนผู้ขอเข้าคณะแล้ว สงฆ์มีจำนวนภิกษุ ๑๐ รูป ที่เรียกว่า ทสวรรค จึงให้อุปสมบทได้ ในอวันตีทักขิณาชนบทมีภิกษุ น้อยกว่า พระมหากัจจายนะจะชุมนุมภิกษุเข้าเป็นสงฆ์ทสวรรคอุปสมบทโสภณสามเณรได้ ต้องใช้เวลาถึงสามปี ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระโสณะลาเพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เสด็จประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถีในเวลานั้น ท่านสั่งให้ไปถวายบังคม และให้กราบทูลถึงการปฏิบัติพระวินัย บางอย่าง อันไม่สะดวกแก่ภิกษุผู้อยู่ในชนบท มีการอุปสมบทนั้นดังกล่าวแล้วเป็นต้น
พระพุทธองค์ได้ทรงทราบจากพระโสณะแล้ว ได้ทรงอนุญาตผ่อนปรนในข้ออุปสมบทไม่สะดวกนั้น ประทานพระพุทธานุญาตว่า ให้พระสงฆ์มีจำนวน ๕ รูป ทำการอุปสมบทกุลบุตร ในปัจจันตชนบทได้ นอกจากนี้ ท่านได้ทูลขอพระพุทธานุญาตให้ทรงแก้ไขพระพุทธบัญญัติ บางข้อซึ่งขัดต่อภูมิประเทศ เช่น
ขอให้ทรงอนุญาตรองเท้าเป็นชั้น ๆ ในปัจจันตชนบทได้
ขอให้ทรงอนุญาตการอาบน้ำเป็นนิตย์ในปัจจันตชนบทได้
ขอให้ทรงอนุญาตเครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ในปัจจันตชนบทได้
ขอให้ตรัสบอกวิธีปฏิบัติในจีวรที่เขาลับหลัง (ผ้าถึงมือจึงชื่อว่าได้รับ)
พระมหากัจจายนะ เป็นผู้มีรูปงาม มีผิวเหลือง ผิดจากที่เข้าใจกันว่าอ้วนล่ำ เนื่องด้วยรูปสมบัติของท่าน มีเรื่องเล่าว่า เศรษฐีบุตรเมืองโสเรยยะเห็นท่านแล้ว นึกด้วยอกุศลจิตว่า ถ้าได้มีภรรยารูปอย่างท่านจะดีนักหนา ด้วยอำนาจบาปนั้น เพศแห่งเศรษฐีบุตร นั้นกลับเป็นสตรี ได้ความอาลัยเป็นอย่างยิ่ง ต่อได้ขอขมาท่านแล้ว เพศจึงกลับเป็นบุรุษตามเดิม
เมื่อพระพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระมหากัจจายนะ อยู่ที่ป่าไม้คุนธา แขวงมธุรราชธานี พระเจ้ามธุรราชบุตร เสด็จเข้าไปหาตรัสถามถึงเรื่องที่พวกพราหมณ์เล่าลือกันว่า วรรณะพราหมณ์ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลว วรรณะพราหมณ์ขาว วรรณะอื่นดำ วรรณะพราหมณ์เป็นบุตรของพระพรหม เกิดจากปากพระพรหม พระพรหมสร้างสรรค์ เป็นทายาทของพระพรหม
พระเถระตอบว่า นั่นเป็นเพียงคำโฆษณาเท่านั้น แล้วได้อธิบายให้พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตรยอมรับว่า วรรณะทั้ง ๔ เสมอกันหมดตามความจริง ๕ ประการ คือ
๑. ในวรรณะ ๔ เหล่านี้ วรรณะเหล่าใด เป็นผู้มั่งมี วรรณะเดียวกันและวรรณะอื่น ย่อมเข้าเป็นเสวกของวรรณะนั้น
๒. วรรณะใด ประพฤติอกุศลกรรมบถ เบื้องหน้าแต่มรณะ วรรณะนั้น ย่อมเข้าสู่อบายเสมอกันหมด ไม่มีพิเศษ
๓. วรรณะใด ประพฤติกุศลกรรมบถ เบื้องหน้าแต่มรณะ วรรณะนั้น ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เหมือนกันหมด
๔. วรรณะใด ทำโจรกรรม ทำปรทาริกกรรม วรรณะนั้นต้องรับราชอาญาเหมือน กันหมด ไม่มียกเว้น
๕. วรรณะใด ออกบวช ตั้งอยู่ในศีลธรรม วรรณะนั้น ย่อมได้รับความนับถือ และ ได้รับบำรุง และได้รับการคุ้มครองรักษาเสมอกันหมด
พระเจ้ามธุรราช ตรัสสรรเสริญธรรมภาษิตของพระเถระ แล้วแสดงพระองค์เป็น อุบาสก ถึงพระเถระ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ท่านทูลห้ามว่า อย่าถึงท่านเป็น สรณะเลย จงถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะของท่านเถิด พระเจ้ามธุรราชตรัส ถามว่า เดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้านั้น เสด็จอยู่ ณ ที่ไหน ท่านทูลว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานเสียแล้ว พระเจ้ามธุรราช ตรัสว่า ถ้าพระองค์ได้ทรงสดับว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ในที่ใด แม้ไกลเท่าไกล ก็จะไปเฝ้าให้จงได้ แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเสียแล้ว พระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้า แม้ปรินิพพานแล้วนั้น พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่สมควรแก่กาลเวลา ก็ดับขันธนิพพาน