เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

พระมหากัสสปะ
พระมหากัสสปะ

พระมหากัสสปะ เดิมชื่อว่า ปิปผลิ เรียกชื่อตามโคตรว่า กัสสปะ พระมหากัสสปะ  เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาล บิดาและมารดาจึงต้องการผู้สืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลได้จัดการให้แต่งงานกับหญิงสาวธิดาพราหมณ์ชื่อภัททกาปิลานี ในขณะที่ท่านมีอายุได้ ๒๐ ปี  นางภัททกาปิลานี มีอายุได้ ๑๖ ปี แต่เพราะทั้งคู่จุติมาจากพรหมโลก และบำเพ็ญ เนกขัมมบารมีมา จึงไม่ยินดีเรื่องกามารมณ์ เห็นโทษของการครองเรือนว่า ต้องคอยเป็นผู้รับบาปจากการกระทำของผู้อื่น

ในที่สุด ทั้งสองได้ตัดสินใจออกบวชโดยการยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่ญาติและบริวาร พวกเขาได้ไปซื้อผ้ากาสาวพัสตร์ ต่างฝ่ายต่างปลงผม ไม่เห็นแก่กันเสร็จแล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์สะพายบาตรเดินลงจากปราสาทไปอย่างไม่มีความอาลัย  เมื่อปิปผลิและภัททกาปิลานีเดินทางไปด้วยกันได้ระยะหนึ่งแล้ว ปรึกษากันว่าการปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ผู้พบเห็นติเตียนได้ เป็นการไม่สมควร จึงได้แยกทางกัน นางภัททกาปิลานีไปถึงสำนักนางภิกษุณีแห่งหนึ่ง แล้วบวชเป็นภิกษุณี ภายหลังได้บรรลุอรหัตผล

วันหนึ่ง ท่านปิปผลิได้พบพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ใต้ร่มไทรเรียกว่าพหุปุตตกนิโครธ ในระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทาต่อกัน มีความเลื่อมใส รับเอาพระพุทธเจ้าเป็น ศาสดาของตน พระองค์ทรงรับเป็นภิกษุในพระวินัยนี้ แล้วประทานโอวาท ๓ ข้อว่า

กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่า เราจะเข้าไปตั้งความละอายและความเกรงไว้ในภิกษุ ทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นกลางเป็นอย่างแรงกล้า ดังนี้ข้อหนึ่ง

เราจะฟังธรรมอันใดอันหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจะเงี่ยหูลงฟังธรรมนั้น พิจารณา เนื้อความ ดังนี้ข้อหนึ่ง

เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ ดังนี้ข้อหนึ่ง

ครั้นพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระมหากัสสปะอย่างนี้แล้ว เสด็จหลีกไป

พระมหากัสสปะได้ฟังพุทธโอวาททรงสั่งสอนแล้ว บำเพ็ญเพียรไม่ช้านัก ในวันที่ ๘  แต่อุปสมบท ได้สำเร็จพระอรหันต์

พระมหากัสสปะนั้น โดยปกติถือธุดงค์ ๓ อย่าง คือ ๑ ถือทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็น วัตร ๒ ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๓ ถืออยู่ป่าเป็นวัตร พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็น เอตทัคคะผู้ยอดเยี่ยมกว่าภิกษุทั้งหลายด้านผู้ทรงธุดงค์

ครั้งหนึ่ง ท่านเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เวฬุวัน พระองค์ตรัสแก่ท่านว่า กัสสปะเดี๋ยวนี้ท่านแก่แล้ว ผ้าป่านบังสุกุลจีวรเครื่องนุ่งห่ม ของท่านนี้หนักนัก ท่านจงทรงจีวรที่ท่านคฤหบดีถวายเถิด จงฉันโภชนะในที่นิมนต์เถิด และจงอยู่ในที่ใกล้เราเถิด ท่านทูลว่า ท่านเคยอยู่ในป่า เที่ยวบิณฑบาต ทรงผ้าบังสุกุลจีวร ใช้แต่ ผ้า ๓ ผืน มีความปรารถนาน้อยสันโดษ ชอบเงียบสงัด ไม่ชอบระคนด้วยหมู่ ปรารภความเพียรและพูดสรรเสริญคุณเช่นนั้นมานานแล้ว

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า กัสสปะท่านเห็นประโยชน์อะไร จึงประพฤติตนเช่นนั้น และสรรเสริญความเป็นเช่นนั้น ท่านทูลว่า เห็นอำนาจ ประโยชน์ ๒ อย่าง คือการอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตนด้วย อนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลังด้วย ประชุมชนในภายหลังทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านประพฤติตนอย่างนั้น จะถึงทิฏฐานุคติ ปฏิบัติตามที่ตนได้เห็นได้ยิน ความปฏิบัตินั้น จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่เขา สิ้นกาลนาน

พระพุทธเจ้าประทานสาธุการว่า ดีละ ดีละ กัสสปะ ท่านปฏิบัติเพื่อประโยชน์ และสุขแก่ชนเป็นอันมาก ท่านจงทรงผ้าบังสุกุลจีวรของท่านเถิด จงเที่ยวบิณฑบาตเถิด  จงอยู่ในป่าเถิด

นอกจากนี้ พระมหากัสสปะ ยังมีคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องอีกหลายอย่าง คือ ทรงเปลี่ยนสังฆาฏิกันใช้ โดยตรัสว่า มีธรรมเป็นเครื่องเสมอกัน และสรรเสริญว่าเป็น ผู้มักน้อย สันโดษ ภิกษุอื่น ๆ ควรถือเป็นตัวอย่าง กัสสปะประพฤติตนเป็นคนใหม่ ไม่คะนอง วาจาใจในบังสุกุลเป็นนิตย์ จิตไม่ข้องในสกุลนั้น ๆ เพิกเฉย ตั้งจิตเป็นกลาง กัสสปะมีจิต ประกอบไปด้วยเมตตา กรุณา แสดงธรรมแก่ผู้อื่น ทรงสั่งสอนภิกษุอื่นให้ประพฤติดี โดยทรง ยกเอาพระมหากัสสปะเป็นตัวอย่าง 

ในคราวที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท่านพำนักอยู่ที่นครปาวา หาได้ตามเสด็จจาริกด้วยไม่ ท่านระลึกถึงพระพุทธเจ้า เดินทางมาจากนครปาวากับบริวาร พักอยู่ตามทาง พบชีวกผู้หนึ่งเดินสวนทางมา ถามข่าวแห่งพระพุทธเจ้า ได้รับบอกว่าปรินิพพานเสียแล้วได้ ๗ วัน 

พระมหามหากัสปะ เป็นประธานในปฐมสังคายนา
พระมหามหากัสปะ เป็นประธานในปฐมสังคายนา

ในพวกภิกษุผู้บริวาร จำพวกที่ยังตัดอาลัยมิได้ ก็ร้องไห้รำพันถึง จำพวกที่ตัดอาลัยได้แล้ว  ก็ปลงธรรมสังเวช มีวุฑฒบรรพชิต คือ ภิกษุบวชตอนแก่รูปหนึ่ง ชื่อสุภัททะ กล่าวห้ามภิกษุ ทั้งหลายว่า อย่าเศร้าโศกร้องไห้เลย พระศาสดาปรินิพพานเสียได้เป็นดีพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ย่อมรับสั่งห้ามไม่ให้ทำการบางอย่าง และให้ทำการบางอย่างที่ไม่พอใจเรา ตั้งแต่นี้ต่อไป เราพ้นแล้วจากผู้บังคับ ปรารถนาจะทำการใด ไม่ทำก็ได้

พระมหากัสสปะรำพึงว่า เพียงพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ ๗ วันเท่านั้นเอง ยังมีภิกษุผู้ไม่หนักในพระสัทธรรม กล้ากล่าวจ้วงจาบได้ถึงเพียงนี้ กาลนานล่วงไปไกล จะมีสักเพียงไร ท่านใส่ใจคำของ พระสุภัททวุฑฒบรรพชิตไว้แล้ว ให้โอวาทแก่ภิกษุสงฆ์สมควรแก่เรื่องแล้ว พาบริวารเดินทางต่อถึงกุสินารานครตอนบ่ายวันถวายพระเพลิง ท่านได้ถวายบังคมพระพุทธสรีระ

พระมหากัสสปะ เป็นพระสังฆเถระอยู่ในเวลานั้น พอถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ แล้วได้ ๗ วัน ท่านประชุมสงฆ์เล่าถึงกาลที่ท่านเดินทางมาจากปาวานครเพื่อจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ทราบข่าวปรินิพพานในกลางทาง มีพระภิกษุบางพวกร้องไห้อาลัยถึง ภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าวห้ามด้วยคำอย่างไร และท่านรำพึงเห็นอย่างไร

ยกเรื่องนี้ขึ้นเป็นเหตุชักชวนภิกษุสงฆ์เพื่อทำสังคายนา รวบรวมพระธรรมวินัย ตั้งไว้เป็นแบบฉบับ เพื่อสมกับพระพุทธพจน์ที่ได้ประทานไว้เมื่อครั้งปรินิพพานว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อย่างใด อันเราแสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว ธรรมวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงไปแล้ว

พระสงฆ์เห็นชอบตามคำแนะนำของท่าน มอบธุระให้ท่านเป็นผู้เลือกภิกษุทั้งหลาย ผู้สามารถจะทำ การสังคายนานั้น พระเถระจึงได้คัดเลือกรวมพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ร้อยกรองพระธรรมวินัย ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหาแห่งเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ได้พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย ได้พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระสูตร พระอภิธรรม โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภ์ ทำอยู่ ๗ เดือน จึงเสร็จ แล้วอยู่ประจำที่วัดเวฬุวัน ปฏิบัติธรรมอยู่เป็นนิตย์ ดับขันธนิพพานระหว่างกลางกุกกุฏสัมปาตบรรพตทั้ง ๓ ลูก ในกรุงราชคฤห์ นับอายุท่านได้ประมาณ ๑๒๐ ปี


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....