
ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต
“ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจ ย่อมได้สิ่งที่ชอบใจ”
พุทธศาสนสุภาษิต “ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจ ย่อมได้สิ่งที่ชอบใจ” มาจากพระบาลีบทว่า มนาปทายี ลภเต มนาปํ (องฺ. ปญฺจก. ๒๒/๕๕) เป็นสุภาษิตที่ให้แง่คิดเกี่ยวกับผลของการให้ โดยเน้นที่การให้สิ่งที่ถูกใจ และผลลัพธ์ที่ผู้ให้จะได้รับ ซึ่งสามารถแยกความหมายของคำต่างๆ ดังนี้
- ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจ หมายถึง ผู้ที่เสียสละแบ่งปันสิ่งของหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ โดยคำนึงถึงความต้องการ ความชื่นชอบของผู้รับ เพื่อให้ผู้รับเกิดความพึงพอใจ
- ย่อม หมายถึง เป็นผลแน่นอน เป็นความจริง
- ได้สิ่งที่ชอบใจ หมายถึง ได้รับผลลัพธ์เป็นสิ่งที่ตนเองพึงพอใจ ชื่นชอบ ตรงกับความต้องการ
เมื่อนำความหมายมารวมกัน พุทธศาสนสุภาษิตนี้ จึงหมายความว่า “ผู้ที่รู้จักให้สิ่งที่ถูกใจผู้อื่น ย่อมได้รับสิ่งที่ตนเองพึงพอใจเป็นผลตอบแทนอย่างแน่นอน”
เหตุผลที่ “ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจ ย่อมได้สิ่งที่ชอบใจ”
- เป็นไปตามกฎแห่งกรรม: การทำดี ย่อมได้ผลดีตอบแทน เมื่อเราให้สิ่งที่ถูกใจผู้อื่น สิ่งที่ถูกใจเราก็ย่อมย้อนกลับมาหาเรา
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: การให้สิ่งที่ถูกใจ แสดงถึงความใส่ใจ ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี
- ได้รับความรัก ความเมตตา: คนที่รู้จักให้สิ่งที่ถูกใจผู้อื่น ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่เมตตาของผู้คน
- จิตใจเบิกบาน อิ่มเอิบ: การให้สิ่งที่ถูกใจผู้อื่น ทำให้จิตใจเราเบิกบาน อิ่มเอิบใจ เพราะได้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และได้เห็นรอยยิ้มของผู้รับ
ตัวอย่าง
- ลูกที่คอยดูแลเอาใจใส่พ่อแม่ ให้สิ่งที่พ่อแม่ชอบ พ่อแม่ก็จะรักและเอ็นดูลูก และเมื่อลูกต้องการสิ่งใด พ่อแม่ก็จะหามาให้
- เพื่อนที่ให้กำลังใจกันในยามทุกข์ ให้คำปรึกษาที่ดี เมื่อเพื่อนคนนั้นมีปัญหา ก็จะได้รับความช่วยเหลือ คำปรึกษาที่ดีจากเพื่อนคนอื่นๆ เช่นกัน
- คนที่บริจาคสิ่งของจำเป็นให้แก่ผู้ยากไร้ ก็จะได้รับความสุขใจ และอาจได้รับสิ่งตอบแทนที่คาดไม่ถึงในอนาคต
พุทธศาสนสุภาษิตนี้ สอนให้เราเป็นผู้ให้ที่รู้จักคำนึงถึงความต้องการของผู้รับ เลือกให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และถูกใจผู้รับ ซึ่งการให้เช่นนี้ นอกจากจะเกิดประโยชน์แก่ผู้รับแล้ว ยังเป็นการสร้างความสุข ความสัมพันธ์ที่ดี และนำมาซึ่งสิ่งที่เราพึงพอใจในอนาคตอีกด้วย