เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด ก็ควรทำตนฉันนั้น
ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด ก็ควรทำตนฉันนั้น

“ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด ก็ควรทำตนฉันนั้น” มาจากบาลีบทว่า อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา ยถญฺญมนุสาสติ ( ขุ. ธ. ๒๕/๓๖.) เป็นพุทธศาสนสุภาษิตที่สอนเรื่องความสอดคล้องระหว่างคำพูดกับการกระทำ ความหมายโดยรวมคือ

เราควรประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่าง ตามคำสั่งสอนที่พร่ำบอกผู้อื่น

อธิบายความหมาย

  • พร่ำสอนผู้อื่น: หมายถึง การสั่งสอน อบรม แนะนำ ตักเตือนผู้อื่น ให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงาม
  • ทำตนฉันนั้น: หมายถึง การปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี สอดคล้องกับคำสั่งสอนที่พร่ำบอกผู้อื่น ไม่ใช่สอนอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง

หลักธรรมที่เกี่ยวข้อง

  • ความซื่อสัตย์สุจริต: การมีความจริงใจ ตรงไปตรงมา ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
  • ความรับผิดชอบ: การมีความรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของตนเอง
  • การเป็นแบบอย่างที่ดี: การเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เราสั่งสอน

ประโยชน์ของการทำตนให้สอดคล้องกับคำสอน

  • เป็นที่น่าเชื่อถือ: ผู้อื่นจะเชื่อถือ ศรัทธา และยอมรับในคำสอนของเรา
  • มีน้ำหนัก: คำสอนของเรามีน้ำหนัก น่าฟัง เพราะเราทำเป็นแบบอย่างแล้ว
  • เกิดผลดีต่อผู้อื่น: ผู้อื่นจะได้รับประโยชน์ และเกิดแรงบันดาลใจ ในการทำความดี
  • พัฒนาตนเอง: การทำตามคำสอนที่สอนผู้อื่น เป็นการพัฒนาและยกระดับจิตใจของเราเอง

ตัวอย่าง

  • ครูสอนให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ ครูก็ควรเป็นคนซื่อสัตย์ด้วย
  • พ่อแม่สอนลูกให้ขยัน อดทน พ่อแม่ก็ควรเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:

  1. ในครอบครัว: หากพ่อแม่สอนลูกเรื่องความมีวินัย เช่น การตื่นเช้า พ่อแม่ควรปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง
  2. ในที่ทำงาน: ผู้นำที่สอนให้ลูกน้องทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ควรแสดงความมุ่งมั่นและทุ่มเทในงานของตนเอง
  3. ในสังคม: ผู้ที่เรียกร้องให้ผู้อื่นมีจิตอาสา ควรลงมือทำจิตอาสาเองให้เป็นที่ประจักษ์

สรุป

การ “ทำตน ฉันนั้น” เป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ ความรับผิดชอบและความตั้งใจจริงในการสั่งสอนผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งตัวเราและผู้อื่น


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....