เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต "ความริษยาเป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย"
ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต “ความริษยาเป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย”

ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต
“ความริษยาเป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย”

พุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ความริษยาเป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย” หรือในภาษาบาลี อรติ โลกนาสิกา (ว.ว.) เป็นสุภาษิตที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์ที่ ๑๐ ทรงนิพนธ์ไว้ เป็นคำสอนที่เน้นย้ำถึงโทษภัยร้ายแรงของ “ความริษยา” ที่สามารถนำมาซึ่งความเสื่อม ความแตกแยก และความหายนะทั้งในระดับบุคคล สังคม และโลก ความหมายโดยละเอียดสามารถอธิบายได้ดังนี้

  • ความริษยา (อิสฺสา): หมายถึง ความไม่พอใจเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี มีสุข หรือมีคุณสมบัติที่ดีกว่าตน อยากให้เขาตกต่ำ อยากให้เขาเสียสิ่งนั้นไป หรืออยากมีอย่างเขาบ้างโดยไม่ชอบธรรม เป็นอารมณ์ด้านลบที่กัดกินจิตใจ ทำให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน และนำไปสู่การกระทำที่ไม่ดี
  • เหตุทำโลกให้ฉิบหาย: การที่ความริษยาเป็น “เหตุทำโลกให้ฉิบหาย” หมายความว่า ความริษยาเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้ง ความแตกแยก ความรุนแรง และความเสื่อมในทุกระดับ เมื่อคนในสังคมเต็มไปด้วยความริษยา ก็จะเกิดการแก่งแย่งชิงดี อิจฉาตาร้อน กลั่นแกล้ง เบียดเบียน และทำร้ายกัน ทำให้สังคมไม่มีความสงบสุข และอาจนำไปสู่ความหายนะในที่สุด
  • ผลกระทบต่อจิตใจ: ความริษยาไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้อื่น แต่ยังทำร้ายจิตใจของผู้ที่ริษยาเอง ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ขุ่นมัว ไม่มีความสุข และเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
  • ผลกระทบต่อสังคม: ความริษยาเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก การทะเลาะวิวาท การทำร้ายกัน และอาจนำไปสู่สงครามและความหายนะในที่สุด
  • ความตรงกันข้ามกับมุทิตา: ในพระพุทธศาสนาสอนให้เจริญ “มุทิตา” คือ ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ตรงกันข้ามกับความริษยา การเจริญมุทิตาจะช่วยลดละความริษยาในใจ และทำให้มีความสุขกับการเห็นผู้อื่นมีความสุข

ความหมายโดยเปรียบเทียบ:

ความริษยาเปรียบเสมือนไฟที่ไหม้ลามทุ่ง เริ่มจากไฟเล็กๆ ในใจคนหนึ่ง แล้วลุกลามไปยังคนอื่นๆ ทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน:

  • ในที่ทำงาน: การริษยาเพื่อนร่วมงานที่ได้เลื่อนตำแหน่ง อาจทำให้เกิดการกลั่นแกล้ง หรือการทำงานร่วมกันไม่มีประสิทธิภาพ
  • ในสังคม: การริษยาคนที่มีฐานะดีกว่า อาจทำให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม และการแบ่งแยกชนชั้น
  • ในระดับประเทศ: ความริษยาระหว่างประเทศ อาจนำไปสู่สงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ
  • ในชีวิตประจำวัน: การริษยาผู้อื่นในเรื่องต่างๆ เช่น รูปร่างหน้าตา ทรัพย์สิน หรือความสำเร็จ อาจทำให้เกิดความทุกข์และความไม่พอใจในชีวิตของตนเอง

คำสอนที่เกี่ยวข้อง:

ในพระพุทธศาสนามีคำสอนมากมายที่เกี่ยวข้องกับความริษยา เช่น

  • อกุศลมูล 3: โลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) โมหะ (ความหลง) ซึ่งความริษยาจัดอยู่ในกลุ่มของโทสะ
  • พรหมวิหาร 4: เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งมุทิตาเป็นคุณธรรมที่ควรเจริญเพื่อลดละความริษยา

วิธีแก้ไขความริษยา:

  • พิจารณาความจริง: พิจารณาว่าความสุขและความสำเร็จของผู้อื่นไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรือเสียอะไร
  • เจริญมุทิตา: พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี และมีความสุขกับความสุขของผู้อื่น
  • พัฒนาตนเอง: แทนที่จะริษยาผู้อื่น ควรใช้เวลาในการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
  • มีสติ: มีสติรู้เท่าทันความคิดและความรู้สึกของตนเอง เมื่อเกิดความริษยาขึ้น ก็ให้รู้ตัวและพยายามละวาง

สรุป: สุภาษิต “ความริษยาเป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย” สอนให้เราเห็นโทษภัยร้ายแรงของความริษยา และกระตุ้นให้เราละวางความริษยาในใจ เพื่อสร้างความสุขให้แก่ตนเองและสังคม

การศึกษาและทำความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านี้ จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติและมีความสุขมากยิ่งขึ้น


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....