เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต "ขึ้นชื่อว่าศิลปะแม้เช่นใดเช่นหนึ่ง ก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้"
ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต “ขึ้นชื่อว่าศิลปะแม้เช่นใดเช่นหนึ่ง ก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้”

ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต
“ขึ้นชื่อว่าศิลปะแม้เช่นใดเช่นหนึ่ง ก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้”

พุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ขึ้นชื่อว่าศิลปะแม้เช่นใดเช่นหนึ่ง ก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้” หรือในภาษาบาลีคือ “สาธุ โข สิปฺปกํ นาม อปิ ยาทิสกีทิสํ” เป็นคำสอนที่เน้นย้ำถึงคุณค่าและความสำคัญของ “ศิลปะ” ซึ่งในบริบทนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ศิลปะในความหมายทั่วไป เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม หรือดนตรี แต่หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความชำนาญ หรือฝีมือในกิจการงานใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นงานหยาบหรืองานละเอียด งานเล็กหรืองานใหญ่ ความหมายโดยละเอียดสามารถอธิบายได้ดังนี้

  • คุณค่าของความรู้และทักษะ: สุภาษิตนี้สอนว่า ความรู้ ความสามารถ และทักษะในงานใดๆ ก็ตาม ล้วนมีคุณค่าและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการทำอาหาร การเย็บปักถักร้อย การซ่อมแซมสิ่งของ การค้าขาย การบริหารจัดการ หรือแม้แต่ทักษะในการพูด การสื่อสาร ล้วนเป็น “ศิลปะ” ที่สามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ การดำเนินชีวิต และการพัฒนาตนเอง
  • การสร้างประโยชน์จากความสามารถ: สุภาษิตนี้เน้นย้ำว่า การมี “ศิลปะ” หรือความรู้ความสามารถ จะช่วยให้บุคคลสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือจิตใจ เช่น ช่างไม้ใช้ทักษะในการสร้างบ้านให้ผู้คนอยู่อาศัย เกษตรกรใช้ความรู้ในการเพาะปลูกพืชผลเป็นอาหาร ครูใช้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียน
  • การไม่ดูถูกความรู้ใดๆ: สุภาษิตนี้สอนให้เราไม่ดูถูกความรู้หรือทักษะใดๆ ก็ตาม แม้จะเป็นทักษะเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจมีประโยชน์ในสถานการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดับเพลิง การช่วยเหลือผู้อื่นในยามฉุกเฉิน
  • การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง: สุภาษิตนี้เป็นแรงบันดาลใจให้บุคคลแสวงหาความรู้ พัฒนาทักษะ และฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้มีความสามารถที่หลากหลายและสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้

ความหมายโดยเปรียบเทียบ:

สุภาษิตนี้เปรียบเสมือนการบอกว่า เครื่องมือทุกชนิดล้วนมีประโยชน์ในงานที่แตกต่างกัน แม้แต่เครื่องมือเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจมีประโยชน์อย่างมากในบางสถานการณ์ เช่นเดียวกัน ความรู้และทักษะทุกอย่างล้วนมีคุณค่าและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน:

  • การเลือกศึกษา: นักเรียนนักศึกษาควรเลือกศึกษาในสาขาที่ตนเองสนใจและมีความถนัด เพื่อที่จะได้พัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต
  • การพัฒนาทักษะ: ผู้ที่ทำงานแล้วควรพัฒนาทักษะของตนเองอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มโอกาสในการก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และเพิ่มรายได้
  • การเรียนรู้ตลอดชีวิต: การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ จะช่วยให้บุคคลมี “ศิลปะ” หรือความรู้ความสามารถที่หลากหลาย และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้
  • การให้คุณค่าแก่ทุกอาชีพ: สุภาษิตนี้สอนให้เราให้เกียรติและให้คุณค่าแก่อาชีพทุกอาชีพ เพราะทุกอาชีพล้วนต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และทักษะในการทำงาน

คำสอนที่เกี่ยวข้อง:

ในพระพุทธศาสนามีคำสอนมากมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนเอง การแสวงหาความรู้ และการทำความดี เช่น

  • อปฺปมาโท อมตํ ปทํ: ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างมีสติ และไม่ประมาทในการพัฒนาตนเอง
  • ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต: ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก ซึ่งหมายถึงความสำคัญของปัญญาในการนำทางชีวิต

สรุป: สุภาษิต “ขึ้นชื่อว่าศิลปะแม้เช่นใดเช่นหนึ่ง ก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้” เป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นคุณค่าของความรู้ ความสามารถ และทักษะทุกอย่าง และกระตุ้นให้เราพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้อย่างเต็มที่

การศึกษาและทำความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านี้ จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติและมีความสุขมากยิ่งขึ้น


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....