
พระราหุล เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะกับพระนางพิมพา (ยโสธรา) พระราชนัดดา ของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เสด็จมาเทศนาโปรดพระประยูรญาติ ประทับอยู่ที่นิโครธาราม และได้เสด็จไปที่พระราชนิเวศน์ของพระนางพิมพา พระนางได้ส่งพระราหุลกุมารผู้เป็นพระโอรสออกมาให้ทูลขอราชสมบัติ พระพุทธเจ้าทรงดำริว่า สมบัติทั้งหลายที่จะถาวรมั่นคงและประเสริฐกว่าอริยทรัพย์มิได้มี เราควรจะให้สมบัติคืออริยทรัพย์แก่ราหุล จึงเสด็จกลับไปยังนิโครธาราม ราหุลกุมารตามเสด็จไปด้วย
พระพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งพระสารีบุตรว่า จงบวชให้ราหุลเถิด พระเถระรับพุทธบัญชา แต่ว่า พระกุมารนั้นยังเล็กเกินไป อายุได้ ๗ ขวบ ไม่ควรที่จะเป็นสงฆ์ พระเถระจึงทูลถามพระพุทธองค์ ถึงวิธีบวช พระพุทธองค์ตรัสให้ใช้วิธีติสรณคมนูปสัมปทา เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัย ให้พระกุมารบวช วิธีนี้ได้ใช้กันสืบมาถึงทุกวันนี้ เรียกว่าบวชเณร
พระราหุลนี้ ได้เป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ครั้นเวลาพ้นอายุกาลครบ ๒๐ ปี จึงอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม

ในสมัยเป็นสามเณร ท่านสนใจใคร่ศึกษาพระธรรมวินัย ลุกขึ้นแต่เช้า เอามือทั้งสองกอบทรายได้เต็ม แล้วตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ตนได้รับโอวาทจากพระพุทธเจ้าหรือ พระอุปัชฌาย์อาจารย์ จดจำ และเข้าใจให้ได้จำนวนเท่าเม็ดทรายในกอบนี้
วันหนึ่ง ท่านอยู่ในสวนมะม่วงแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปหา แล้วตรัส จูฬราหุโลวาทสูตร แสดงโทษของการกล่าวมุสา อุปมาเปรียบกับน้ำที่ทรงคว่ำขันเททิ้งไปว่า ผู้ที่กล่าวมุสาทั้งที่รู้แก่ใจ ความเป็นสมณะของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำในขันนี้แล้วทรงชี้ ให้เห็นว่า ไม่มีบาปกรรมอะไรที่ผู้หมดความละอายใจกล่าวเท็จ ทั้ง ๆ ที่รู้จะทำไม่ได้
ต่อมาได้ฟังมหาราหุโลวาทสูตรใจความว่า ให้พิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นธาตุ ๕ ประการ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ตัดความยึดถือว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา แล้วตรัสสอนให้อบรมจิต คิดให้เหมือนกับธาตุแต่ละอย่างว่าแม้จะมีสิ่ง ที่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาถูกต้อง ก็ไม่มีอาการพอใจรักใคร่ หรือเบื่อหน่ายเกลียดชัง
สุดท้าย ทรงสอนให้เจริญเมตตาภาวนาเพื่อละพยาบาท เจริญกรุณาภาวนาเพื่อ ละวิหิงสา เจริญมุทิตาภาวนาเพื่อละความริษยา เจริญอุเบกขาภาวนาเพื่อละความขัดใจ เจริญอสุภภาวนาเพื่อละราคะ เจริญอนิจจสัญญาภาวนาเพื่อละอัสมิมานะ ท่านได้พยายาม ฝึกใจไปตามนั้น ในที่สุดได้สำเร็จอรหัตผล
พระราหุลเถระนี้ เป็นผู้ใคร่ในการศึกษาดังได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้รับ ยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ใคร่ในการศึกษา ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยควรแก่กาลเวลา ก็ดับขันธนิพพาน