เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

พระอานนท์
พระอานนท์

พระอานนท์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุกโกธนะ พระกนิษฐภาดา (น้องชาย) ของพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาพระนามว่า พระนางกีสาโคตมี มีศักดิ์เป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า  ประสูติที่กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า

พระอานนท์เถระเป็นเจ้าชายเชื้อสายศากยะ ได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอย่างดี  เป็นสหายสนิทของเจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกิมพิละ และ เจ้าชายเทวทัต

เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงสละราชสมบัติ เสด็จออกผนวชและสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เสด็จไปโปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในพรรษา ที่ ๕ ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่กรุงกบิลพัสดุ์ มีพระญาติหลายองค์ออกผนวชตามเหลือ แต่กุมารเหล่านี้ คือ พระมหานามะ พระอนุรุทธ พระภัททิยะ พระภัคคุ พระกิมพิละ  พระอานนท์ และพระเทวทัต

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ พวกศากยะได้วิพากษ์วิจารณ์กันว่า พวกตนได้ให้โอรสของตน ๆ ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายสิทธัตถะ ในคราวพิธีขนานพระนาม ออกผนวชตามเสด็จ แต่พระกุมารเหล่านี้ เห็นทีจะไม่ใช่พระญาติกับพระพุทธเจ้าจึงไม่ออกผนวชตาม พระมหานามะได้สดับคำวิพากษ์วิจารณ์ ทรงรู้สึกละอาย  จึงปรึกษาพระอนุรุทธะว่าต้องออกบวชคนหนึ่ง

ในที่สุดอนุรุทธะออกผนวช จึงไปทูลลาพระมารดา พระมารดาไม่อนุญาต ท่านทูลอ้อนวอนจนพระมารดาทรงอนุญาต แต่ทรงมีเงื่อนไขว่าหากพระเจ้าภัททิยศากยราชออกผนวชด้วย จึงทรงอนุญาต อนุรุทธะพยายามชักชวนพระเจ้าภัททิยะจนตกลงพระทัยออกผนวช ต่อมาท่านชักชวนกุมารอีก ๕ องค์ มีพระอานนท์ เป็นต้น รวมทั้งอุบาลีภูษามาลา ตามเสด็จพระพุทธองค์ไปเพื่อขอบรรพชาอุปสมบท

ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่อนุปิยอัมพวัน เขตอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ พระอานนท์เถระบวชไม่นาน ได้ฟังธรรมจากท่านพระปุณณมันตานีบุตรก็บรรลุ พระโสดาปัตติผล ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล

ในช่วงปฐมโพธิกาล หลังจากตรัสรู้แล้ว ๒๐ พรรษานั้น ยังไม่มีพระภิกษุใดปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์เป็นประจำ มีแต่พระภิกษุผลัดเปลี่ยนวาระกันปฏิบัติ เช่น พระนาคสมาละ พระนาคิตะ พระอุปวาณะ พระสาคตะ และพระเมฆิยะ เป็นต้น บางคราวการผลัดเปลี่ยนบกพร่อง องค์ที่ปฏิบัติอยู่ออกไปแต่ต้ององค์ใหม่ยังไม่มาแทน ทำให้พระพุทธองค์ต้องประทับ อยู่ตามลำพังขาดผู้ปฏิบัติ

บางครั้งพระภิกษุผู้ปฏิบัติก็ดื้อดึงขัดรับสั่งของพระพุทธองค์ เช่น  ครั้งหนึ่ง เป็นวาระของพระนาคสมาลเถระ ท่านได้เสด็จตามพระพุทธองค์ไปทางไกล พอถึง ทาง ๒ แพร่ง พระเถระทราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์เสด็จไปทางนี้เถิด  พระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ตรัสว่า อย่าเลยนาคสมาละ ไปอีกทางหนึ่งจะดีกว่า พระนาคสมาละ  ไม่ยอมเชื่อฟังพระดำรัส ขอแยกทางกับพระพุทธองค์ ทำท่าจะวางบาตรและจีวรของพระพุทธองค์ที่พื้นดิน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า นาคสมาละเธอจงส่งบาตรและจีวรมาให้ ตถาคตเถิด

พระนาคสมาละถวายบาตรและจีวรแด่พระพุทธองค์แล้วแยกทางเดินไปตามที่ตนต้องการไปได้ไม่ไกลนักก็ถูกพวกโจรทำร้ายจนศีรษะแตกแล้วแย่งชิงเอาบาตรและจีวรไป  ทั้งที่เลือดอาบหน้ารีบกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเล่าเรื่องให้ทรงทราบ

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อย่าเสียใจไปเลย นาคสมาละ ตถาคตห้ามเธอก็เพราะเหตุนี้ พระพุทธองค์ได้รับความลำบากพระวรกายเพราะถูกปล่อยให้ประทับอยู่ตามลำพังหลายครั้ง จึงมีพระดำรัส รับสั่งให้พระภิกษุสงฆ์เลือกสรรภิกษุทำหน้าที่ปฏิบัติพระองค์เป็นพระประจำ

ภิกษุทั้งหลายมีฉันทามติมอบหมายให้พระอานนท์เถระรับหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐากตลอดกาลเป็นนิตย์ ด้วยเห็นว่าท่านเป็นผู้มีสติปัญญา ขยัน อดทน รอบคอบ และเป็นพระญาติใกล้ชิดย่อมจะ ทราบพระอัธยาศัยเป็นอย่างดี

แต่ก่อนที่พระเถระจะตอบรับทำหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐากนั้น ท่านได้กราบทูลขอพร  ๘ ประการ ดังนี้

ขออย่าประทานจีวรอันประณีตแก่ข้าพระองค์
ขออย่าประทานบิณฑบาตอันประณีตแก่ข้าพระองค์
ขอได้โปรดอย่าให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์
ขอได้โปรดอย่าพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์
ขอพระองค์จงเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้
ขอให้ข้าพระองค์พาบริษัทที่มาจากแดนไกลเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ได้ในขณะที่มาถึง
ถ้าข้าพระองค์เกิดความสงสัยขึ้นเมื่อใด ขอให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าทูลถามความสงสัยได้เมื่อนั้น
ถ้าพระองค์แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องใดที่ลับหลังข้าพระองค์ ขอได้โปรดตรัส พระธรรมเทศนาเรื่องนั้นแก่ข้าพระองค์อีกครั้ง

พระพุทธเจ้า ได้สดับคำกราบทูลขอพรของพระอานนท์เถระแล้ว ได้ตรัสถามถึง คุณและโทษของพร ๘ ประการว่า

ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นคุณและโทษอย่างไร จึงขออย่างนั้น พระอานนท์เถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อที่ ๑-๔ ข้างต้น ก็จะมีคนพูดติฉินนินทา ได้ว่า พระอานนท์ปฏิบัติบำรุงอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า จึงได้ลาภสักการะมากมายอย่างนี้ การปฏิบัติอุปัฏฐากมิได้หนักหนาอะไรเลย

ถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อที่ ๕-๗ จะมีคนพูดได้อีกว่า พระอานนท์ จะบำรุงอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าไปทำไม แม้กิจเพียงเท่านี้ พระพุทธองค์ ก็ไม่ทรงอนุเคราะห์ อนึ่ง โดยเฉพาะถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อสุดท้ายแล้ว หากมีผู้มาถามธรรมข้อนี้พระพุทธองค์แสดงที่ไหน ถ้าข้าพระองค์ไม่ทราบ เขาก็จะตำหนิได้ว่า พระอานนท์ติดตามพระพุทธเจ้าไปทุกหนแห่ง ดุจเงาตามตัว แต่เหตุไฉนจึงไม่รู้แม้แต่เรื่องเพียงเท่านี้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นคุณและโทษ ดังกล่าวมานี้ จึงได้กราบทูลขอพร ทั้ง ๘ ประการนั้น พระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้า เมื่อได้สดับคำชี้แจงของพระอานนท์แล้ว จึงประทานสาธุการและ ประทานอนุญาตให้ตามที่ขอทุกประการ ตั้งแต่นั้นมาพระเถระก็ปฏิบัติหน้าที่บำรุงอุปัฏฐาก พระพุทธองค์ตลอดมาตราบเท่าถึงเสด็จเข้าสู่นิพพาน

พระอานนท์
พระอานนท์

พระเถระได้ปฏิบัติหน้าที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าด้วยความอุสาหะมิได้บกพร่อง อีกทั้ง มีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ชีวิตของตนก็ยอมสละแทนพระพุทธองค์ได้ เช่น ในคราวที่ พระเทวทัตยุยงให้พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยช้างนาฬาคีรี ด้วยหวังจะให้ทำอันตรายพระพุทธองค์ ขณะเสด็จออกบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์

ในขณะที่ช้างนาฬาคีรีวิ่งตรงเข้ามาหาพระพุทธองค์นั้น พระอานนท์เถระผู้เปี่ยมล้นด้วยความกตัญญูและความจงรักภักดี ได้ยอมมอบกายถวายชีวิต เป็นพุทธบูชา ออกไปยืนขวางหน้าช้างไว้ หวังจะให้ทำอันตรายตนแทน แต่พระพุทธองค์ได้ ทรงแผ่เมตตาไปยังช้างนาฬาคีรี ด้วยอำนาจแห่งพระเมตตาบารมี ทำให้ช้างสร่างเมาหมด พยศลดความดุร้าย ยอมหมอบถวายบังคมพระพุทธองค์ แล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าสู่โรงช้าง ด้วยอาการอันสงบ

พระอานนท์เถระ ได้ปฏิบัติพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิด มิได้ประมาทพลาดพลั้ง  ได้ฟังพระธรรมเทศนาทั้งที่แสดงแก่ตนและผู้อื่น ทั้งที่แสดงต่อหน้าและลับหลัง อีกทั้งท่าน เป็นผู้มีสติปัญญาทรงจำไว้ได้มาก จึงเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง ท่านในตำแหน่งเอตทัคคะผู้ยอดเยี่ยมกว่าภิกษุทั้งหลายถึง ๕ ด้าน คือ

เป็นพหูสูต (ทรงจ าพุทธวจนะได้มากที่สุด)
เป็นผู้มีสติ
เป็นผู้มีคติ (แนวในการจ าพุทธวจนะ)
เป็นผู้มีธิติ (ความเพียร)
เป็นพุทธอุปัฏฐาก

ในกาลที่พระพุทธองค์ใกล้เสด็จดับธันธ์ปรินิพพาน พระอานนท์เถระ มีความน้อยเนื้อ ต่ำใจที่ตนยังเป็นเพียงพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน อีกทั้งพระบรมครูก็จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานในอีกไม่ช้านี้ จึงหลีกออกไปยืนร้องไห้แต่เพียงผู้เดียวข้างนอก พระพุทธองค์รับสั่งให้ภิกษุไปเรียกเธอมาแล้วตรัสเตือนเธอให้คลายทุกข์โทมนัสพร้อมตรัสพยากรณ์ว่า อานนท์ เธอจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในวันที่ทำปฐมสังคายนา

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พระมหากัสสปะเถระได้นัดประชุม พระอรหันต์ขีณาสพ จำนวน ๕๐๐ รูป เพื่อทำปฐมสังคายนา โดยมอบให้พระอานนท์รับหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม แต่เนื่องจากพระอานนท์ยังเป็นเพียงพระโสดาบัน 

ท่านจึงเร่งทำความเพียรอย่างหนัก แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เกิดความอ่อนเพลีย ท่านปรารภที่จะ พักผ่อนอิริยาบถสักครู่ จึงเอนกายลงบนเตียง ในขณะที่เท้าพ้นจากพื้นศีรษะกำลังจะถึงหมอน ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในระหว่างอิริยาบถทั้ง ๔ คือ ไม่ได้อยู่ในอิริยาบถอย่างหนึ่ง อย่างใด คือ อิริยาบถยืน เดิน นั่ง หรือนอน นับว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แปลกกว่า พระเถระรูปอื่น ๆ

พระอานนท์ ดำรงอายุสังขารอยู่นานถึง ๑๒๐ ปี พิจารณาเห็นว่าสมควรที่จะ นิพพานได้แล้วท่านจึงเชิญพระญาติทั้งฝ่ายศากยะและฝ่ายโกลิยะไปที่ริมฝั่งแม่น้ าโรหิณี ซึ่งกั้นเขตแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ ก่อนที่จะนิพพาน ท่านเหาะขึ้นไปบนอากาศ ได้แสดงธรรมสั่งสอนเทวดาและพระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายตลอดทั้งพุทธบริษัทอื่น ๆ เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้วท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า

เมื่ออาตมานิพพานแล้ว ขอให้อัฐิธาตุของอาตมานี้แยกออกเป็น ๒ ส่วน จงตกลงที่ฝั่งกบิลพัสดุ์ของพระประยูรญาติฝ่ายศากยวงศ์ส่วนหนึ่ง และจงตกที่ฝั่งเทวทหะของ พระประยูรญาติฝ่ายโกลิยวงศ์ส่วนหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้พระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะวิวาทกันเพราะแย่งพระธาตุ

ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วก็เสด็จดับขันธนิพพาน ณ เบื้องบนอากาศ ในท่ามกลางแม่น้ าโรหิณีนั้น เตโชธาตุก็เกิดขึ้น เผาสรีระของท่านเหลือแต่กระดูกและแยกออกเป็น ๒ ส่วน แล้วตกบนพื้นดินของ ๒ ฝั่งแม่น้ำโรหิณีนั้น สมดังที่ท่านอธิษฐานไว้ทุกประการ ท่านได้ชื่อว่า เป็นพุทธสาวกที่ได้บรรลุกิเลสนิพพานและขันธนิพพานแปลกกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....