
ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต
“ถึงให้แผ่นดินทั้งหมด ก็ยังคนอกตัญญูให้จงรักไม่ได้”
พุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ถึงให้แผ่นดินทั้งหมด ก็ยังคนอกตัญญูให้จงรักไม่ได้” พระบาลีบทว่า สพฺพญฺเจ ปฐวึ ทชฺชา นากตญฺญุมภิราธเย. มาจาก ขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต (ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๒๓) มีความหมายดังนี้
ความหมายโดยตรง: แม้จะมอบแผ่นดินทั้งหมดให้แก่คนอกตัญญู ก็ไม่สามารถทำให้เขาเกิดความรักหรือสำนึกในบุญคุณได้
ความหมายโดยนัย: สุภาษิตนี้สอนให้เห็นถึงลักษณะของคนอกตัญญู ซึ่งเป็นคนที่ไม่รู้จักบุญคุณของผู้อื่น ไม่ว่าผู้อื่นจะทำดีให้มากเท่าใด ก็ไม่สามารถทำให้เขาซาบซึ้งหรือสำนึกในพระคุณได้ คนอกตัญญูมักมองข้ามความดีของผู้อื่น มองแต่สิ่งที่ตนเองขาด หรือคิดว่าสิ่งที่ได้รับเป็นสิ่งที่ตนควรได้อยู่แล้ว
เปรียบเทียบ: สุภาษิตนี้เปรียบเทียบความกว้างใหญ่ของแผ่นดิน ซึ่งถือว่าเป็นของมีค่ามากมาย กับใจของคนอกตัญญูที่คับแคบและมืดบอด แม้จะได้รับสิ่งที่มีค่ามากเพียงใด ก็ไม่สามารถเติมเต็มหรือเปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาได้
ความสำคัญ: สุภาษิตนี้มีความสำคัญในการเตือนสติให้เรารู้จักพิจารณาคน และไม่คาดหวังความกตัญญูจากคนอกตัญญู การทำความดีควรทำด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังผลตอบแทน และควรเลือกทำดีกับคนที่เห็นคุณค่าในความดีของเรา
สรุป: สุภาษิต “ถึงให้แผ่นดินทั้งหมด ก็ยังคนอกตัญญูให้จงรักไม่ได้” สอนให้เรารู้จักคนอกตัญญู และไม่เสียเวลาหรือเสียใจกับคนเหล่านี้ การทำความดีควรทำกับคนที่รู้จักคุณค่า และทำด้วยใจที่บริสุทธิ์
นอกจากนี้ ยังมีพุทธศาสนสุภาษิตอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนอกตัญญู เช่น
- “คนอกตัญญูไม่รู้คุณคน เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่ง ทำดีก็ไม่รู้ค่า ให้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ คอยจับผิด ใส่ร้าย จ้องทำลาย” (จากหนังสืออยู่ในบุญ : ส่องธรรม ลํ้าภาษิต : ห่างไกลคนอกตัญญู – กัลยาณมิตร) ซึ่งขยายความถึงโทษของคนอกตัญญูที่นอกจากจะไม่รู้คุณคนแล้ว ยังเป็นภัยต่อผู้อื่นอีกด้วย
ดังนั้น การทำความเข้าใจในพุทธศาสนสุภาษิตนี้ จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ และไม่ตกเป็นเหยื่อของคนอกตัญญู