
ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต “ข่ายเสมอด้วยโมหะ ไม่มี”
พุทธศาสนสุภาษิต “ข่ายเสมอด้วยโมหะ ไม่มี” มาจากพระบาลีบทว่า นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ (ขุ. ธ. ๒๕/๔๘.) มีความหมายว่า ไม่มีข่ายหรือเครื่องผูกมัดใด จะร้ายแรง เสมอด้วยโมหะ (ความหลง, ความเขลา, อวิชชา)
อธิบายขยายความได้ดังนี้:
- ข่าย (ชาลํ): หมายถึง ตาข่าย, แห, เครื่องดักสัตว์ ในที่นี้เปรียบเสมือนสิ่งที่ผูกมัด รัดรึง ให้ติดอยู่
- โมหะ (โมห): หมายถึง ความหลง ความเขลา ความไม่รู้ตามความเป็นจริง ความมืดบอดทางปัญญา อวิชชา เป็นหนึ่งในอกุศลมูล 3 (รากเหง้าของความชั่ว)
- เสมอด้วย (สมํ): หมายถึง เท่ากับ, เทียบเท่า, เหมือนกับ
- ไม่มี (นตฺถิ): หมายถึง ไม่มี, ปราศจาก
ความหมายโดยรวม:
โมหะหรือความหลง ความไม่รู้จริงนั้น เป็นเครื่องผูกมัดที่ร้ายแรงที่สุด ยิ่งกว่าข่ายหรือเครื่องจองจำใดๆ เพราะมันผูกมัดเราไว้ในวัฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) ทำให้เราไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
ทำไมโมหะจึงเป็นข่ายที่ร้ายแรงที่สุด?
- โมหะเป็นรากเหง้าของอกุศลทั้งปวง: โมหะเป็นพื้นฐานของกิเลสอื่นๆ เช่น โลภะ (ความโลภ) และโทสะ (ความโกรธ) เมื่อเราไม่รู้ตามความเป็นจริง เราจึงเกิดความอยากได้ (โลภ) และความขัดเคืองใจ (โทสะ) ตามมา
- โมหะทำให้เรายึดติดในตัวตนและของตน: เพราะความไม่รู้ เราจึงยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเรา มีของเรา เกิดความหวงแหน ยึดติด และเป็นทุกข์เมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้น
- โมหะทำให้เรามองไม่เห็นความจริง: โมหะเปรียบเสมือนความมืดที่บดบังปัญญา ทำให้เรามองไม่เห็นสัจธรรม ไม่เข้าใจกฎแห่งกรรม ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล นำไปสู่การกระทำที่ผิดพลาดและเป็นทุกข์
- โมหะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด: เพราะความไม่รู้ เราจึงกระทำกรรมต่างๆ ทั้งดีและชั่ว ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ อย่างไม่รู้จบสิ้น
การหลุดพ้นจากข่ายแห่งโมหะ:
หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากข่ายแห่งโมหะ คือ การเจริญปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรม ฝึกสติ สมาธิ วิปัสสนา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงตามความเป็นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) เมื่อปัญญาเกิดขึ้น โมหะก็จะถูกทำลายไป เหมือนความมืดย่อมหายไปเมื่อมีแสงสว่าง
สรุป:
พุทธศาสนสุภาษิต “ข่ายเสมอด้วยโมหะ ไม่มี” สอนให้เราเห็นถึงความร้ายแรงของโมหะหรืออวิชชา ซึ่งเป็นเครื่องผูกมัดที่ทำให้เราติดอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ และชี้แนะให้เราหมั่นเจริญปัญญาเพื่อทำลายโมหะ อันเป็นหนทางสู่ความหลุดพ้นที่แท้จริง