
ทิศ 6 บุคคล 6 ประเภทที่เราใช้ชีวิตร่วมและต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในสิงคาลกสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมเกี่ยวกับ “ทิศ 6” ซึ่งหมายถึงบุคคล 6 ประเภทที่อยู่รอบตัวเรา และเราควรปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นอย่างเหมาะสม เพื่อความสงบสุขในสังคม ทิศ 6 ไม่ได้หมายถึงทิศทางทางภูมิศาสตร์ แต่เป็นความสัมพันธ์ทางสังคม
ทิศทั้ง 6 มีดังนี้
- ปุรัตถิมทิศ (ทิศเบื้องหน้า) ได้แก่ บิดามารดา หมายถึง ผู้มีพระคุณสูงสุด เป็นผู้ให้กำเนิด เลี้ยงดู อบรมสั่งสอน เราจึงควรเคารพ ดูแล เลี้ยงดูท่านเมื่อยามแก่เฒ่า ตอบแทนพระคุณของท่าน
- ทักษิณทิศ (ทิศเบื้องขวา) ได้แก่ ครู อาจารย์ หมายถึง ผู้ให้ความรู้ อบรมสั่งสอน ให้เราเป็นคนดี มีวิชาความรู้ เราจึงควรเคารพ เชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน
- ปัจฉิมทิศ (ทิศเบื้องหลัง) ได้แก่ ภรรยา/สามี หมายถึง คู่ครอง ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข สร้างครอบครัวด้วยกัน เราจึงควรให้เกียรติ ซื่อสัตย์ และดูแลซึ่งกันและกัน
- อุตตรทิศ (ทิศเบื้องซ้าย) ได้แก่ มิตรสหาย หมายถึง เพื่อน ผู้คอยช่วยเหลือ สนับสนุน ให้กำลังใจ เราจึงควรจริงใจ มีน้ำใจ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- เหฏฐิมทิศ (ทิศเบื้องล่าง) ได้แก่ บ่าว/นายจ้าง ลูกจ้าง/นายจ้าง หมายถึง ผู้ร่วมงาน ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือผู้บังคับบัญชา เราจึงควรปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ ให้เกียรติ และเป็นธรรม
- อุปริมทิศ (ทิศเบื้องบน) ได้แก่ สมณะ พราหมณ์ หมายถึง นักบวช ผู้ทรงศีล ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราจึงควรเคารพ ให้ความช่วยเหลือ และรับฟังคำแนะนำที่ดีจากท่าน
การปฏิบัติตามหลักทิศ 6 นี้ จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม ทำให้เกิดความสงบสุข และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
๑. ปุรัตถิมทิส คือทิศเบื้องหน้า มารดาบิดา บุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ท่านได้เลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ.
(๒) ทำกิจของท่าน.
(๓) ดำรงวงศ์สกุล.
(๔) ประพฤติตนให้เป็นคนควรรับทรัพย์มรดก.
(๕) เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน.
ที. ปาฏิ. ๑๐/๒๐๓.
มารดาบิดาได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕
(๑) ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว.
(๒) ให้ตั้งอยู่ในความดี.
(๓) ให้ศึกษาศิลปวิทยา.
(๔) หาภรรยาที่สมควรให้.
(๕) มอบทรัพย์ให้ในสมัย.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๓.
๒. ทักขิณทิส คือทิศเบื้องขวา อาจารย์ ศิษย์พึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยลุกขึ้นยืนรับ.
(๒) ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้.
(๓) ด้วยเชื่อฟัง.
(๔) ด้วยอุปัฏฐาก.
(๕) ด้วยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๓.
อาจารย์ได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน ๕
(๑) แนะนำดี.
(๒) ให้เรียนดี.
(๓) บอกศิลปให้สิ้นเชิง ไม่ปิดบังอำพราง.
(๔) ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง.
(๕) ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย (คือจะไปทางทิศไหนก็ไม่อดอยาก).
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
๓. ปัจฉิมทิส คือทิศเบื้องหลัง ภรรยา สามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา.
(๒) ด้วยไม่ดูหมิ่น.
(๓) ด้วยไม่ประพฤติล่วงใจ.
(๔) ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้.
(๕) ด้วยให้เครื่องแต่งตัว.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
ภรรยาได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕
(๑) จัดการงานดี.
(๒) สงเคราะห์คนข้างเคียงของผัวดี.
(๓) ไม่ประพฤติล่วงใจผัว.
(๔) รักษาทรัพย์ที่ผัวหามาได้ไว้.
(๕) ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
๔. อุตตรทิส คือทิศเบื้องซ้าย มิตร กุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยให้ปัน.
(๒) ด้วยเจรจาถ้อยคำไพเราะ.
(๓) ด้วยประพฤติประโยชน์.
(๔) ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ.
(๕) ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริง.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
มิตรได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕
(๑) รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว.
(๒) รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว.
(๓) เมื่อมีภัย เอาเป็นที่พึ่งพำนักได้.
(๔) ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ.
(๕) นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๕.
๕. เหฏฐิมทิส คือทิศเบื้องต่ำ บ่าว นายพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง.
(๒) ด้วยให้อาหารและรางวัล.
(๓) ด้วยรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้.
(๔) ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน.
(๕) ด้วยปล่อยในสมัย.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๕.
บ่าวได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕
(๑) ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย.
(๒) เลิกการงานทีหลังนาย.
(๓) ถือเอาแต่ของที่นายให้.
(๔) ทำการงานให้ดีขึ้น.
(๕) นำคุณของนายไปสรรเสริญในที่นั้น ๆ.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๕.
๖. อุปริมทิส คือทิศเบื้องบน สมณพราหมณ์ กุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยกายกรรม คือทำอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา.
(๒) ด้วยวจีกรรม คือพูดอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา.
(๓) ด้วยมโนกรรม คือคิดอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา.
(๔) ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู คือมิได้ห้ามเข้าบ้านเรือน.
(๕) ด้วยให้อามิสทาน.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๕.
สมณพราหมณ์ได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖
(๑) ห้ามไม่ให้กระทำความชั่ว.
(๒) ให้ตั้งอยู่ในความดี.
(๓) อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม.
(๔) ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง.
(๕) ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่ม.
(๖) บอกทางสวรรค์ให้.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๖.
อรรถกถาสิงคาลกสูตรในสุมังคลวิลาสินี กล่าวไว้ว่า “กรรมใดที่คฤหัสถ์ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่ง กรรมนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ ย่อมไม่มี พระสูตรนี้ ชื่อว่าคิหิวินัย เพราะฉะนั้น เมื่อฟังพระสูตรนี้แล้วปฏิบัติตามที่ได้สอนไว้ ความเจริญเท่านั้นเป็นอันหวังได้ ไม่มีความเสื่อมฉะนี้”
ฝ่ายปราชญ์ด้านพุทธศาสนา แสดงความเห็นว่า “พระสูตรนี้ชาวยุโรปเลื่อมใสกันมากว่าจะแก้ปัญหาสังคมได้ เพราะเสนอหลักทิศ 6 อันแสดงว่าบุคคลทุกประเภทในสังคมควรปฏิบัติต่อกันในทางที่ดีงาม ไม่มีการกดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงไป”