
ในอดีตกาล บัณฑิตสามเณร เกิดเป็นชายเข็ญใจ ชื่อมหาทุคคตะ ด้วยอานิสงส์แห่งทานมีการถวายภัตตาหารประกอบด้วยรสปลาตะเพียนเป็นต้นแด่พระกัสสปพุทธเจ้า พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานทรัพย์สมบัติมากมาย และสถาปนาเขาไว้ในตำแหน่งเศรษฐีอย่างเป็นทางการ แม้เบื้องหน้าแต่นั้น เขาดำรงอยู่ บำเพ็ญบุญจนตลอดอายุ ในที่สุดอายุได้บังเกิดในเทวโลกเสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง
ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากนั้นแล้วถือปฏิสนธิในท้องธิดาคนโต ในตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ในกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น มารดาบิดาของนางรู้ว่านางตั้งครรภ์ จึงได้ให้เครื่องบริหารครรภ์ โดยสมัยอื่น นางเกิดแพ้ท้องเห็นปานนี้ว่า โอ้ เราพึงถวายทานแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ตั้งต้นแต่พระธรรมเสนาบดี ด้วยรสปลาตะเพียนแล้วนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาด นั่งในที่สุดอาสนะ บริโภคภัตรที่เป็นเดนของภิกษุเหล่านั้น
นางบอกแก่มารดาบิดาแล้วก็ได้กระทำตามประสงค์ ความแพ้ท้องระงับไปแล้ว ต่อมา ในงานมงคล ๗ ครั้ง แม้อื่นจากนี้ มารดาบิดาของนางเลี้ยงภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระธรรมเสนาบดีเถระเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนเหมือนกัน
ก็ในวันตั้งชื่อ เมื่อมารดาของเด็กนั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้สิกขาบททั้งหลายแก่ทาสของท่านเถิด
พระเถระถามว่า เด็กนี้ชื่ออะไร
มารดาของเด็กตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนเงอะงะในเรือนนี้ แม้พวกพูดไม่ได้เรื่อง ก็กลับเป็นผู้ฉลาดตั้งแต่กาลที่เด็กนี้ถือปฏิสนธิในท้อง เพราะฉะนั้น บุตรของดิฉันควรมีชื่อว่า บัณฑิต เถิด
พระเถระได้ให้สิกขาบททั้งหลายแล้ว ก็ตั้งแต่วันที่หนูบัณฑิตเกิดมา ความคิดเกิดขึ้นแก่มารดาของเขาว่า เราจะไม่ทำลายอัธยาศัยของบุตรเรา ในเวลาที่เขามีอายุได้ ๗ ขวบ เขากล่าวกับมารดาว่า ผมขอบวชในสำนักพระเถระ นางกล่าวว่า ได้ พ่อคุณ แม่ได้นึกไว้เสมอ อย่างนี้ว่าจะไม่ทำลายอัธยาศัยของเจ้า ดังนี้แล้วจึงนิมนต์พระเถระให้ฉันแล้วกล่าวว่า ข้าแต่ ท่านผู้เจริญ ทาสของท่านอยากจะบวช ดิฉันจะนำเด็กนี้ไปวิหารในเวลาเย็น ส่งพระเถระไปแล้ว ให้หมู่ญาติประชุมกัน กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจะทำสักการะที่ควรทำแก่บุตรของข้าพเจ้า ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ในวันนี้ทีเดียว ดังนี้แล้ว ก็ให้ทำสักการะมากมาย พาหนูบัณฑิตนั้นไปสู่วิหาร ได้มอบถวายแก่พระเถระว่า ขอท่านจงให้เด็กนี้บวชเถิด เจ้าข้า
พระเถระบอกความที่การบวชเป็นกิจทำได้ยากแล้ว เมื่อเด็กรับรองว่า ผมจะทำตามโอวาทของท่านขอรับ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงมาเถิด ชุบผมให้เปียกแล้วบอกตจปัญจกกัมมัฏฐานให้บวชแล้ว
แม้มารดาบิดาของบัณฑิตสามเณรนั้นอยู่ในวิหารสิ้น ๗ วัน ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนอย่างเดียว ในวันที่ ๗ เวลาเย็นจึงได้ไปเรือน ในวันที่ ๘ พระเถระเมื่อจะไปภายในบ้าน พาสามเณรนั้นไป ไม่ได้ไปกับหมู่ภิกษุ เพราะเหตุไร
เพราะว่า การห่มจีวรและถือบาตรหรืออิริยาบถของเธอยังไม่น่าเลื่อมใสก่อน อีกอย่างหนึ่ง วัตรที่พึงทำในวิหารของพระเถระยังมีอยู่
อนึ่ง พระเถระ เมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปภายในบ้านแล้ว เที่ยวไปทั่ววิหาร กวาดสถานที่ ที่ยังไม่ได้กวาด ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ภายในภาชนะที่ว่างเปล่า เก็บเตียงตั่งเป็นต้นที่ยังเก็บไว้ไม่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปบ้านภายหลัง อีกอย่างหนึ่ง ท่านคิดว่า พวกเดียรถีย์เข้าไปยังวิหารว่างแล้ว อย่าได้พูดว่า ดูเถิด ที่นั่งของพวกสาวกพระสมณโคดม ดังนี้แล้ว จึงได้จัดแจงวิหารทั้งสิ้น เข้าไปบ้านภายหลัง เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระเถระให้สามเณรถือบาตรและจีวรเข้าไปบ้านสายหน่อย
บัณฑิตสามเณรได้ไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตรเถระ ระหว่างทางเห็นคนชักน้ำจากเหมือง เกิดสงสัยจึงถามว่า น้ำมีจิตใจหรือไม่ พระเถระตอบว่า น้ำไม่มีจิตใจ สามเณร จึงคิดว่า เมื่อคนสามารถชักน้ำซึ่งไม่มีจิตใจไปสู่ที่ที่ตนเองต้องการได้ แต่เหตุใดจึงไม่สามารถบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้

เดินต่อไปได้เห็นคนกำลังถากไม้ทำเกวียนอยู่ ถึงถามว่า ไม้นั้นมีจิตใจหรือไม่ เมื่อพระเถระตอบว่า ไม้ไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถนำท่อนไม้ที่ไม่มีจิตใจมาทำเป็นล้อได้ แต่ทำไมไม่สามารถบังคับจิตใจได้
เดินต่อไป ได้เห็นคนกำลังใช้ไฟลนลูกศรเพื่อจะดัดให้ตรงจึงถามว่า ลูกศรนั้นมีจิตใจ หรือไม่ เมื่อพระเถระตอบว่า ลูกศรไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถดัดลูกศรให้ตรงได้ แต่ทำไมไม่สามารถบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจได้
ทันใดนั้น สามเณรได้เกิดความคิดที่จะปฏิบัติธรรมขึ้น จึงได้ขอพระเถระนำอาหารมาฝากตนด้วย พระเถระได้รับปากและมอบลูกดาล (กุญแจ) ให้พร้อมกับสั่งให้ไปปฏิบัติธรรมในห้องของท่าน สามเณรได้ทำตามทุกอย่างและก็เริ่มบำเพ็ญสมณธรรม
ครั้งนั้น ที่ประทับนั่งของท้าวสักกะ แสดงอาการร้อนด้วยเดชแห่งคุณของสามเณร ท้าวเธอใคร่ครวญว่า มีเหตุอะไรกันหนอ ทรงดำริได้ว่า บัณฑิตสามเณรถวายบาตรและจีวรแก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับด้วยตั้งใจว่า จะทำสมณธรรม แม้เราก็ควรไปในที่นั้น ดังนี้แล้วตรัสเรียกท้าวมหาราชทั้ง ๔ มา ตรัสว่า พวกท่านจงไปไล่นกที่บินจอแจอยู่ในป่าใกล้วิหารให้หนีไป แล้วยึดอารักขาไว้โดยรอบ ตรัสกับจันทเทพบุตรว่า ท่านจงรั้งมณฑลพระจันทร์ไว้ ตรัสกับสุริยเทพบุตรว่า ท่านจงฉุดรั้งมณฑลพระอาทิตย์ไว้ ดังนี้แล้ว พระองค์เองได้เสด็จไปประทับยืนยึดอารักขาอยู่ที่สายยูในพระวิหาร แม้เสียงแห่งใบไม้แก่ก็มิได้มี จิตของสามเณรได้อารมณ์เป็นหนึ่ง เธอพิจารณาอัตภาพแล้วบรรลุผล ๓ อย่างในระหว่างภัตนั้นเอง
ฝ่ายพระเถระคิดว่า สามเณรนั่งในวิหาร เราอาจจะได้โภชนะที่สมประสงค์แก่เธอ ในสกุลชื่อโน้น ดังนี้แล้ว จึงได้ไปสู่ตระกูลอุปัฏฐากซึ่งประกอบด้วยความรักและเคารพ ตระกูลหนึ่ง
ก็ในวันนั้น มนุษย์ทั้งหลายในตระกูลนั้น ได้ปลาตะเพียนหลายตัว นั่งดูการมาแห่งพระเถระอยู่ พวกเขาเห็นพระเถระกำลังมาจึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านมาที่นี้ ทำกรรมเจริญ แล้วนิมนต์ให้เข้าไปข้างใน ถวายข้าวยาคูและของควรเคี้ยวเป็นต้นแล้ว ได้ถวายบิณฑบาตด้วยรสปลาตะเพียน พระเถระแสดงอาการจะนำไป พวกมนุษย์เรียนว่า นิมนต์ฉันเถิดขอรับ ใต้เท้าจะได้แม้ภัตสำหรับจะนำไป ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระเถระ ได้เอาภาชนะประกอบด้วยรสปลาตะเพียนใส่เต็มบาตรถวาย พระเถระคิดว่า สามเณรของเราหิวแล้วจึงได้รีบไป
แม้พระพุทธเจ้า ในวันนั้นเสวยแต่เช้า เสด็จไปวิหารใคร่ครวญว่า บัณฑิตสามเณรให้บาตรและจีวรแก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับไปด้วยตั้งใจว่าจะทำสมณธรรม กิจแห่งบรรพชิตของเธอจะสำเร็จหรือไม่ ทรงทราบว่า สามเณรบรรลุผล ๓ อย่างแล้ว จึงทรงพิจารณาว่า อุปนิสัยแห่งอรหัตผลจะมีหรือไม่มี ทรงเห็นว่า มี แล้วทรงใคร่ครวญว่า เธอจะบรรลุอรหัตผล ก่อนภัตหรือไม่ ได้ทรงทราบว่า บรรลุ
ลำดับนั้น พระองค์ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า สารีบุตรถือภัตเพื่อสามเณรรีบมา เธอจะพึงทำอันตรายแก่สามเณรนั้นได้ เราจะนั่งถือเอาอารักขาที่ซุ้มประตู ทีนั้นจะถามปัญหา ๔ ข้อ เมื่อเธอแก้อยู่ สามเณรจะบรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปจากวิหาร ประทับยืนอยู่ที่ซุ้มประตู ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกับพระเถระผู้มาถึงแล้ว
เมื่อพระเถระแก้ปัญหาทั้ง ๔ ข้อเหล่านี้อย่างนั้นแล้ว สามเณรก็ได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ฝ่ายพระพุทธเจ้าตรัสกับพระเถระว่า ไปเถิด สารีบุตร จงให้ภัตแก่สามเณรของเธอ พระเถระไปเคาะประตูแล้ว สามเณรออกมารับบาตรจากมือพระเถระวางไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงเอาพัดก้านตาลพัดพระเถระ
ลำดับนั้น พระเถระกล่าวว่า สามเณร จงทำภัตกิจเสียเถิด
สามเณรเรียนถามว่า ก็ใต้เท้าเล่า ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า เราทำภัตกิจเสร็จแล้ว เธอจงทำเถิด
เด็กอายุ ๗ ขวบบวชแล้ว ในวันที่ ๘ บรรลุอรหัตผล เป็นเหมือนดอกปทุมที่แย้มแล้ว ในขณะนั้น ได้นั่งพิจารณาที่เป็นที่ใส่ภัต ทำภัตกิจแล้ว
ในขณะที่เธอล้างบาตรเก็บไว้ จันทเทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์ สุริยเทพบุตร ปล่อยมณฑลพระอาทิตย์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เลิกอารักขาทั้ง ๔ ทิศ ท้าวสักกเทวราช เลิกอารักขาที่สายยู พระอาทิตย์ เคลื่อนคล้อยไปแล้วจากที่ท่ามกลาง
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า เงา บ่ายเกินประมาณแล้ว พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไป จากที่ท่ามกลาง ก็สามเณรฉันเสร็จเดี๋ยวนี้เอง นี่เรื่องอะไรกันหนอ
พระพุทธเจ้าทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้วเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธอ พูดอะไรกัน
พวกภิกษุกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญทำสมณธรรม จันทเทพบุตร ฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้ สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้งไว้ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถือ อารักขาทั้ง ๔ ทิศ ในป่าใกล้วิหาร ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารักขาที่สายยู ถึงเราผู้มีความขวนขวายน้อยด้วยนึกเสียว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจจะนั่งอยู่ได้ ยังได้ไปยึดอารักขา เพื่อบุตรของเรา ที่ซุ้มประตู แล้วตรัสต่อไปว่า
วันนี้บัณฑิตสามเณรเห็นคนไขน้ำไปจากเหมือง ช่างศรกำลังดัดลูกศรให้ตรง และช่างถากกำลังถากไม้แล้ว ถือเอาเหตุเท่านั้นให้เป็นอารมณ์ ทรมานตนบรรลุอรหัตผลแล้ว ดังนี้