
ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิต
“ความชนะใดที่ชนะแล้วกลับแพ้ได้ ความชนะนั้นไม่ดี”
พุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ความชนะใดที่ชนะแล้วกลับแพ้ได้ ความชนะนั้นไม่ดี” มาจากพระบาลีบทว่า น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ. (ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒๒.) เป็นคำสอนที่สำคัญในพระพุทธศาสนาที่เน้นย้ำถึงคุณค่าของการชนะที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่การเอาชนะผู้อื่นด้วยกำลังหรือเล่ห์เหลี่ยม แต่เป็นการเอาชนะกิเลสในใจตนเอง เพื่อให้เข้าใจความหมายได้อย่างละเอียด ขออธิบายดังนี้
ความหมายโดยทั่วไป:
สุภาษิตนี้สอนว่า การเอาชนะภายนอก เช่น การชนะในการแข่งขัน การชนะศัตรู หรือการชนะในสงคราม เป็นชัยชนะที่ไม่ยั่งยืน เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงและกลับกลายเป็นความพ่ายแพ้ได้ในภายหลัง ชัยชนะที่แท้จริงคือการชนะใจตนเอง การเอาชนะกิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นต้นเหตุของความทุกข์ เมื่อชนะกิเลสได้แล้ว ความสุขและความสงบก็จะเกิดขึ้นอย่างถาวร
การขยายความ:
- ความชนะใดที่ชนะแล้วกลับแพ้ได้: หมายถึง ชัยชนะทางโลก เช่น การชนะในการแข่งขันกีฬา การชนะในการทำธุรกิจ หรือการชนะในสงคราม ชัยชนะเหล่านี้ไม่แน่นอนและอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เช่น ทีมกีฬาที่เคยชนะอาจจะแพ้ในครั้งต่อไป นักธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จอาจจะล้มเหลว หรือประเทศที่เคยชนะสงครามอาจจะพ่ายแพ้ในอนาคต ชัยชนะเหล่านี้จึงไม่ยั่งยืนและไม่ถือว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง
- ความชนะนั้นไม่ดี: หมายความว่า ชัยชนะที่ไม่ยั่งยืนและอาจกลับกลายเป็นความพ่ายแพ้ได้นั้น ไม่ใช่ชัยชนะที่แท้จริงและไม่ควรยึดติด เพราะมันนำมาซึ่งความประมาท ความทะนงตน และอาจนำไปสู่ความทุกข์ในภายหลัง
- ชัยชนะที่แท้จริงในทางพระพุทธศาสนา: ในทางพระพุทธศาสนา ชัยชนะที่แท้จริงคือการเอาชนะกิเลสในใจตนเอง ได้แก่ โลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลง) การเอาชนะกิเลสเหล่านี้จะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง ความสงบ และความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
ความสำคัญในทางปฏิบัติ:
สุภาษิตนี้สอนให้เราพิจารณาว่า อะไรคือชัยชนะที่แท้จริงในชีวิต ไม่ควรยึดติดกับชัยชนะทางโลกที่ไม่แน่นอน แต่ควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจ การลดละกิเลส และการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน
ตัวอย่าง:
- นักกีฬาที่ชนะการแข่งขันโอลิมปิก อาจจะได้รับชื่อเสียงและเงินทอง แต่ในอนาคตก็อาจจะมีนักกีฬาคนอื่นที่เก่งกว่ามาแทนที่ หรือเมื่ออายุมากขึ้นก็ไม่สามารถแข่งขันได้อีก ชัยชนะนี้จึงไม่ยั่งยืน
- คนที่ร่ำรวยจากการทำธุรกิจ อาจจะสูญเสียทรัพย์สมบัติไปได้จากวิกฤตเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอื่นๆ ความร่ำรวยนี้จึงไม่แน่นอน
- ในทางตรงกันข้าม คนที่สามารถควบคุมความโกรธของตนเองได้ หรือลดความโลภในใจลงได้ ถือว่าเป็นผู้ที่ชนะใจตนเอง ซึ่งเป็นชัยชนะที่แท้จริงและยั่งยืน
ความแตกต่างจาก “ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง”:
แม้ทั้งสองสุภาษิตจะเกี่ยวข้องกับ “การชนะ” แต่มีความแตกต่างกันในแง่มุมที่เน้น:
- “ความสิ้นตัณหา…” เน้นไปที่การดับต้นเหตุของความทุกข์ คือ ตัณหา ซึ่งเป็นหนทางไปสู่ความพ้นทุกข์
- “ความชนะใดที่ชนะแล้วกลับแพ้ได้…” เน้นไปที่การแยกแยะระหว่างชัยชนะที่แท้จริง (การชนะกิเลส) กับชัยชนะที่ไม่ยั่งยืน (การชนะทางโลก)
กล่าวคือ “ความสิ้นตัณหา…” บอก วิธีการ ในการเอาชนะความทุกข์ ในขณะที่ “ความชนะใดที่ชนะแล้วกลับแพ้ได้…” บอก ลักษณะ ของชัยชนะที่แท้จริง
โดยสรุป “ความชนะใดที่ชนะแล้วกลับแพ้ได้ ความชนะนั้นไม่ดี” เป็นคำสอนที่สำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การเอาชนะกิเลสในใจตนเองเป็นชัยชนะที่แท้จริงและยั่งยืนกว่าการเอาชนะภายนอก ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในพระพุทธศาสนา