เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

พระเขมาเถรี
พระเขมาเถรี

พระเขมาเถรีเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสาคลราช ผู้ครองสาคลนคร ในแคว้นมัททรัฐ ทรงพระสิริโฉมงดงาม มีผิวพรรณดังสีทองเลื่อมเรื่อเป็นเงาดังแววนกยูง พระประยูรญาติได้ให้พระนามว่า เขมา เมื่อเข้าสู่วัยสาวได้อภิเษกสมรสเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร  แห่งนครราชคฤห์ แคว้นมคธ เพราะพระนางทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพิมพิสารเป็นอย่างยิ่ง

ในระยะแรกท่านมิได้สนพระทัยในพระพุทธศาสนานัก ทั้งที่พระเจ้าพิมพิสารทรงอุปถัมถ์พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี คือ ได้ทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันให้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา และได้ทรงถวายปัจจัยอุปถัมถ์ภิกษุสงฆ์ ณ วัดเวฬุวันอยู่เป็นประจำ

ในเวลาที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ท่านได้ทรงทราบว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องโทษเกี่ยวกับร่างกาย จึงทรงเกรงว่าถ้าท่านเสด็จไปเฝ้า  พระพุทธองค์อาจจะทรงชี้โทษเกี่ยวกับพระรูปโฉมของท่านก็ได้ จึงไม่ยอมเสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์เลย แม้แต่วัดเวฬุวันที่พระเจ้าพิมพิสารทรงสร้าง ท่านก็มิได้เสด็จไปดู

พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงพระดำริว่า เราเป็นอัครอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า แต่อัครมเหสีของอริยสาวกเช่นเรานี้จะไม่ไปเฝ้าพระพุทธองค์ ข้อนี้เราไม่ชอบใจเลย พระองค์จึงทรงหาอุบายที่จะให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และฟังธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ให้ได้ ในที่สุดทรงมีพระบัญชาให้กวีแต่งเพลงพรรณนาความงามวัดเวฬุวันราชอุทยานด้วยถ้อยคำอันไพเราะ ชวนคิด  ชวนฝันของวัดเวฬุวันราชอุทยาน แล้วรับสั่งให้นำไปขับร้องใกล้ ๆ ที่พระนางประทับ

พระนางประสงค์จะเสด็จไปชม จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งพระองค์ก็ทรงยินดีให้เสด็จไปตามพระประสงค์ เมื่อพระนางเขมาได้เสด็จชมพระราชอุทยานจนสิ้นวันแล้ว ใคร่เสด็จกลับ พวกราชบุรุษทั้งหลายได้นำท่านไปยังสำนักของพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่พอพระทัยเลย

พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นพระนางเขมากำลังเสด็จมาเฝ้า เพื่อที่จะให้ท่านคลายความยึดถือในความงาม ทรงเนรมิตนางเทพอัปสรนางหนึ่งยืนถือพัดก้านใบตาลถวายงานพัดให้ พระองค์อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีความงดงามยิ่งกว่าพระนางเขมาจึงตะลึงในความงามของนางเทพอัปสรแล้ว ถึงกับตกพระทัย โดยมิได้สนพระทัยในพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า และทรงดำริว่า แย่แล้วสิเรา สตรีที่งามปานเทพอัปสรเห็นปานนี้ยืนอยู่ใกล้ ๆ พระพุทธเจ้า แม้เราจะเป็นปริจาริกา หญิงรับใช้ของนางก็ยังไม่คู่ควรเลย เพราะเหตุไร เราจึงเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจจิตคิดชั่วหลงมัวเมาอยู่ในรูปเช่นนี้หนอ

เมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าว่า เธอจง ดูร่างกายอันอาดูร ไม่สะอาด เน่าเปื่อย ไหลเข้า ไหลออก ที่คนโง่ปรารถนากันนัก พระพุทธเจ้าจึงทรงบันดาลให้พระนางเขมาทอดพระเนตรเห็นรูปสตรีนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ ให้มีวัยสูงอายุขึ้น ๆ จนแก่ชรา มีหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ฝันหัก แก่หง่อมแล้วล้มกลิ้งถึงแก่กรรม พร้อมกับพัดใบตาลนั้น เหลือแต่กระดูกในที่สุด

พระนางเขมาทอดพระเนตรเห็นความเป็น เช่นนั้น ทรงเห็นความไม่มีแก่นสารของรูปสตรีนั้น จึงทรงได้คิด คลายความยึดติดในความงาม จึงดำริว่า สรีระที่สวยงามเห็นปานนี้ยังถึงกลับความวิบัติได้ แม้พระสรีระของเราก็จะมีคติเป็นไปอย่างนี้เหมือนกัน

ขณะที่พระนางเขมากำลังมีพระดำริอย่างนี้อยู่นั้น พระพุทธองค์ ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ตกไปในกระแสราคะ เหมือนแมลงมุมตกไปในข่ายใยที่ตนทำเอง เมื่อชนเหล่านั้นตัดกระแสเหล่านั้นได้ โดยไม่มีเยื่อใยแล้วละกามสุขเสียได้ ย่อมออกบวช

เมื่อจบพระพุทธดำรัสคาถาภาษิตแล้ว พระนางเขมาส่งญาณไปตามกระแส พระธรรมเทศนา ก็ตรัสขาดความรักได้เด็ดขาด บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทาทั้งหลายในอริยาบทที่ประทับยืนนั้นเอง

พระเจ้าพิมพิสาร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปตามพระนางเขมา แต่เมื่อไปถึง  พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสบอกกับพระเจ้าพิมพิสารว่า บัดนี้พระนางเขมาไม่อาจจะครองเพศฆารวาสได้อีกแล้ว เพราะได้สำเร็จอรหัตผลแล้ว เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบดังนั้นจึงอนุโมทนาสาธุการ

พระพุทธองค์จึงประทานอุปสมบทด้วยวิธีเอหิ เมื่อนั้นพระนางเขมาได้สวมจีวรทิพย์ซึ่งลอยมาในอากาศ พร้อมบริขารทั้งหลายในทันที

พระเขมาเถรี เป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ทิพโสตธาตุและเจโตปริยญาณ รู้ชัดปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพจักษุให้บริสุทธิ์ มีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ญาณอันบริสุทธิ์ ในอรรถ ธรรม นิรุตติปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วเป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลายคล่องแคล่วในกถาวัตถุ รู้จักนัยแห่งอภิธรรม ถึงความชำนาญในศาสนา ภายหลัง พระเจ้าพิมพิสารตรัสถามปัญหาละเอียดในโตรณวัตถุ ได้วิสัชนาโดยควรแก่กถา

ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว ทูลสอบถามปัญหาเหล่านั้น  พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เป็นอย่างเดียวกันกับพระเถรีวิสัชนาแล้ว พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ท่ามกลางหมู่พระอริยะ ณ วัดพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำแหน่งตามลำดับ ก็ทรงสถาปนาพระเขมาเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เพราะเป็นผู้มีปัญญามากและ เป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา ดังความในพระสูตรว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขมาเป็นเลิศภิกษุณีสาวิกาของเราผู้มีปัญญามาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ออกบวช ก็ขอจงเป็นเช่นเขมาภิกษุณีและอุบลวรรณา ภิกษุณีเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา เขมาภิกษุณีและอุบลวรรณา ภิกษุณี เป็นดุจประมาณเช่นนี้

วันหนึ่งพระเถรีนั่งพักกลางวันอยู่ ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง มารผู้มีบาปแปลงกายเป็น ชายหนุ่มเข้าไปหา เพื่อประเล้าประโลมด้วยกามทั้งหลาย ก็กล่าวคาถาว่า แม่นางเขมาเอย เจ้าก็สาวสคราญ เราก็หนุ่มแน่น มาสิ เรามาร่วมอภิรมย์กัน  ด้วยดนตรีเครื่อง ๕ นะแม่นาง

พระเขมาเถรี ฟังคำนั้นแล้ว เพื่อประกาศความที่ตนหมดความกำหนัดในกามทั้งปวง  ๑ ความที่ผู้นั้นเป็นมาร ๑ ความไม่เลื่อมใสที่มีกำลังของตนในเหล่าสัตว์ผู้ยึดมั่นในอัตตา ๑  และความที่ตนทำกิจเสร็จแล้ว ๑ จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

เราอึดอัดเอือมระอาด้วยกายอันเปื่อยเน่า กระสับกระส่าย มีอันจะแตกพังไปนี้อยู่  เราถอนกามตัณหาได้แล้ว กามทั้งหลาย มีอุปมาด้วยหอกและหลาว มีขันธ์ทั้งหลายเป็น เขียงรองสับ บัดนี้ ความยินดีในกามที่ท่านพูดถึงไม่มีแก่เราแล้ว เรากำจัดความเพลิดเพลิน ในกามทั้งปวงแล้ว ทำลายกองแห่งความมืด (อวิชชา) เสียแล้ว

ดูก่อนมารใจบาป ท่านจงรู้ อย่างนี้ ตัวท่านถูกเรากำจัดแล้ว พวกคนเขลา ไม่รู้ตามความเป็นจริง พากันนอบน้อมดวงดาวทั้งหลาย บำเรอไฟอยู่ในป่าคือลัทธิ สำคัญว่าเป็นความบริสุทธิ์ ส่วนเรานอบน้อมเฉพาะพระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ จึงพ้นแล้วจากทุกข์ทั้งปวง ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระศาสดา

พระเขมาเถรี
พระเขมาเถรี

พระเขมาเถรี เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี ท่านเอง ก็พำนักอยู่ ณ สำนักภิกษุณี กรุงเวสาลี ครั้งนั้น พระเขมาเถรี ผู้เป็นบริวารของพระมหาปชาบดี โคตมีเถรี ได้มีความปริวิตกว่า พระมหาปชาบดีจะนิพพาน จึงได้เข้าหาพระมหาเถรี แล้วทูลว่า

ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าพระแม่เจ้าชอบใจกาลนิพพานอันเกษมอันยิ่งไซร้ ถึงข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะนิพพานกันหมด ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาต พวกข้าพเจ้าได้ออกจากเรือนจากภพ พร้อมด้วยพระแม่เจ้า ก็จะไปสู่นิพพานบุรี อันยอดเยี่ยมพร้อม ๆ กันกับพระแม่เจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไปพร้อมกับพระแม่เจ้าเหมือนกัน

พระมหาปชาบดีโคตมีได้ตรัสว่า เมื่อท่านทั้งจะไปนิพพาน เราจะว่าอะไรเล่า หลังจากนั้น พระเขมาเถรีและภิกษุณีรวมได้ ๕๐๐ รูป ได้ตามพระมหาปชาบดีโคตมีไปพระวิหารขอให้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแล้วอำลาพระเถระทั้งหลาย และเพื่อนพรหมจารี ทุกรูปซึ่งเป็นที่เจริญใจของตน แล้วมานิพพาน ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....