เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....

The Man from Earth (2007): เมื่อ "บทสนทนา" ทรงพลังกว่า "สเปเชียลเอฟเฟกต์"
The Man from Earth (2007): เมื่อ “บทสนทนา” ทรงพลังกว่า “สเปเชียลเอฟเฟกต์”

ในวงการภาพยนตร์ไซไฟที่เต็มไปด้วยยานอวกาศ, เอเลี่ยน, และสงครามดวงดาว มีภาพยนตร์อิสระเรื่องหนึ่งที่สร้างปรากฏการณ์และกลายเป็นหนังคัลท์คลาสสิก (Cult Classic) ได้โดยแทบไม่ใช้งบประมาณด้านเทคนิคพิเศษเลย แต่ใช้อาวุธที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ “บทสนทนา” ภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ The Man from Earth (2007) หรือในชื่อไทย “คนอมตะฝ่าหมื่นปี” ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าแก่นแท้ของนิยายวิทยาศาสตร์คือ “แนวคิด” ที่ท้าทายสติปัญญาและความเชื่อของเรา

ข้อมูลภาพยนตร์

  • ผู้กำกับ: ริชาร์ด เชงค์แมน (Richard Schenkman)
  • ผู้เขียนบท: เจอโรม บิกซ์บี (Jerome Bixby)
  • นักแสดงนำ: เดวิด ลี สมิธ (David Lee Smith), โทนี่ ท็อดด์ (Tony Todd), จอห์น บิลลิงสลีย์ (John Billingsley), แอนนิกา ปีเตอร์สัน (Annika Peterson)
  • วันออกฉาย (รอบปฐมทัศน์): 13 พฤศจิกายน 2007 (สหรัฐอเมริกา)

เรื่องย่อ: การสารภาพอันน่าเหลือเชื่อ

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นภายในบ้านไม้หลังเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อศาสตราจารย์ จอห์น โอล์ดแมน (เดวิด ลี สมิธ) กำลังจะย้ายออกจากเมืองอย่างกะทันหัน เพื่อนร่วมงานของเขาซึ่งเป็นกลุ่มอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ทั้งนักชีววิทยา, นักโบราณคดี, นักประวัติศาสตร์, และนักศาสนศาสตร์ ได้แวะมาเพื่อจัดงานเลี้ยงอำลา

บรรยากาศสบายๆ แปรเปลี่ยนเป็นความตึงเครียด เมื่อเพื่อนๆ เริ่มสงสัยว่าทำไมจอห์นถึงไม่เคยดูแก่ลงเลยตลอด 10 ปีที่พวกเขารู้จักกัน ในที่สุด จอห์นก็ได้เปิดเผย “เรื่องสมมติ” ที่น่าตกตะลึงว่า เขาคือมนุษย์ยุคโครมันยองที่มีชีวิตอยู่มาแล้วกว่า 14,000 ปี เขาไม่เคยแก่และไม่เคยตาย เขาคือ “มนุษย์ถ้ำ” ที่มีชีวิตรอดผ่านทุกยุคทุกสมัยของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

จากจุดนั้น ภาพยนตร์ทั้งเรื่องคือบทสนทนาอันเข้มข้นระหว่างจอห์นและเพื่อนๆ ของเขาที่พยายามจะพิสูจน์หรือหักล้างคำกล่าวอ้างของเขาด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์, ประวัติศาสตร์, และศาสนา เรื่องราวที่จอห์นเล่ายิ่งมายิ่งน่าทึ่งและสั่นคลอนความเชื่อทุกอย่างที่พวกเขาเคยยึดถือมาตลอดชีวิต จนนำไปสู่บทสรุปที่ไม่มีใครคาดคิด

เนื้อเรื่องหนัง The Man from Earth (2007)

จุดเริ่มต้น: การเลี้ยงอำลาที่กลายเป็นการสอบสวน

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง ภายในบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยหนังสือ ศาสตราจารย์ จอห์น โอล์ดแมน กำลังเก็บข้าวของเพื่อย้ายออกจากเมืองอย่างกะทันหัน เพื่อนร่วมงานของเขา ซึ่งเป็นกลุ่มคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ได้แก่ แดน (นักมานุษยวิทยา), แฮร์รี่ (นักชีววิทยา), อีดิธ (ศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมคริสเตียน), อาร์ต (นักโบราณคดี) และ แซนดี้ (นักประวัติศาสตร์) ได้แวะมาหาเขาเพื่อจัดงานเลี้ยงอำลาเล็ก ๆ

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง บทสนทนาก็วกเข้ามาที่สาเหตุการย้ายออกไปของจอห์น เพื่อนๆ ตั้งข้อสังเกตว่าตลอด 10 ปีที่รู้จักกันมา จอห์นไม่เคยดูแก่ลงเลยแม้แต่น้อย เขาดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาคาดคั้นหาเหตุผล จนในที่สุด จอห์นตัดสินใจที่จะเล่า “เรื่องสมมติ” เรื่องหนึ่งให้เพื่อนๆ ฟัง เพื่อเป็นการอำลา

การสารภาพ: ผมคือมนุษย์ถ้ำอายุ 14,000 ปี

จอห์นเริ่มต้นเรื่องเล่าที่น่าตกตะลึงว่า เขาคือมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรือมนุษย์ถ้ำ ที่เกิดเมื่อ 14,000 ปีก่อน เขาไม่เคยแก่และไม่สามารถตายด้วยสาเหตุทางธรรมชาติได้ เมื่ออายุถึง 35 ปี ร่างกายของเขาก็หยุดการเจริญเติบโต และคงสภาพนั้นมาตลอด เขาต้องย้ายที่อยู่ทุก ๆ 10 ปี เพื่อไม่ให้คนรอบข้างสังเกตเห็นความผิดปกตินี้

แน่นอนว่าทุกคนในห้องหัวเราะและคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่เมื่อเห็นแววตาที่จริงจังของจอห์น พวกเขาก็เริ่มใช้วิชาความรู้ที่แต่ละคนเชี่ยวชาญ มาซักถามและพยายามจับผิดเรื่องเล่าของเขา

  • แดน นักมานุษยวิทยา ถามถึงชีวิตในยุคหิน การใช้ภาษา และวัฒนธรรม ซึ่งจอห์นก็สามารถตอบได้อย่างละเอียดลออ
  • อาร์ต นักโบราณคดี พยายามหาช่องโหว่ทางประวัติศาสตร์ แต่จอห์นก็สามารถให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันได้อย่างน่าทึ่ง
  • แฮร์รี่ นักชีววิทยา พยายามหักล้างด้วยหลักการทางชีวภาพว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เซลล์มนุษย์จะไม่เสื่อมสภาพ แต่จอห์นก็โต้กลับว่าร่างกายของเขาอาจมีกลไกการซ่อมแซมตัวเองที่สมบูรณ์แบบ

เรื่องราวที่จอห์นเล่ายิ่งมายิ่งน่าทึ่ง เขาอ้างว่าเคยเป็นชาวสุเมเรียน, เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า, เคยเห็นโมเสสลงมาจากภูเขา, เคยรู้จักกับแวนโก๊ะ และยังเป็นเพื่อนกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อีกมากมาย

จุดไคลแมกซ์: ชายผู้เป็นต้นกำเนิดของพระเยซู

บทสนทนามาถึงจุดที่ตึงเครียดและอ่อนไหวที่สุด เมื่อ อีดิธ ผู้เคร่งศาสนา ถามจอห์นเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ จอห์นลังเลที่จะตอบในตอนแรก แต่ในที่สุดเขาก็ยอมเล่า

เขาบอกว่าในช่วงที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรโรมัน เขาได้พยายามนำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาได้เรียนรู้มา มาปรับใช้และเผยแพร่ในโลกตะวันตก แต่ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมานับหมื่นปี ทำให้เขามีความเข้าใจในธรรมชาติและร่างกายมนุษย์มากกว่าคนทั่วไป เขาสามารถรักษาอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ซึ่งคนในยุคนั้นมองว่าเป็น “ปาฏิหาริย์”

เขาไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติ ไม่ได้เป็นบุตรของพระเจ้า และไม่ได้ฟื้นจากความตาย (เขาแค่ถูกทรมานจนเกือบตายแต่ก็รอดมาได้) แต่เรื่องราวของเขาถูกบิดเบือนและแต่งเติมจนกลายเป็นตำนานของ พระเยซูคริสต์ ในเวลาต่อมา

คำสารภาพนี้สร้างแรงกระแทกอย่างรุนแรง อีดิธร้องไห้ด้วยความรู้สึกว่าจอห์นกำลังลบหลู่ศาสนา อาร์ตโกรธจัดและขู่จะแจ้งตำรวจให้มาจับจอห์นไปอยู่โรงพยาบาลบ้า ในขณะที่จิตแพทย์ ดร. กรูเบอร์ ซึ่งถูกตามตัวมาในภายหลัง พยายามวินิจฉัยว่าจอห์นมีอาการป่วยทางจิต

บทสรุป: ความจริงที่เจ็บปวด

เมื่อเห็นว่า “เรื่องสมมติ” ของเขาได้ทำร้ายจิตใจเพื่อน ๆ อย่างรุนแรง จอห์นจึงยอม “ถอดบท” และบอกกับทุกคนว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นเพื่อเล่นสนุกเท่านั้น ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย แต่ก็ยังมีความรู้สึกโกรธและผิดหวังที่ถูกจอห์นหลอก

เพื่อน ๆ ทยอยกันกลับบ้าน เหลือเพียงแซนดี้ที่ยังคงอยู่กับจอห์น ในขณะที่ ดร. กรูเบอร์ กำลังจะกลับ เขาบังเอิญได้ยินจอห์นพูดถึงชื่อปลอมที่เขาเคยใช้เมื่อ 60 ปีก่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือชื่อ จอห์น โธมัส พอร์เตอร์ ศาสตราจารย์เคมีที่ฮาร์วาร์ด

ดร. กรูเบอร์หยุดชะงักและหันกลับมาถามจอห์นด้วยเสียงสั่นเครือ เขาถามถึงชื่อภรรยา ชื่อสุนัข ซึ่งจอห์นก็ตอบถูกทั้งหมด… เพราะจอห์น โธมัส พอร์เตอร์ คือพ่อของ ดร. กรูเบอร์ ที่ทิ้งครอบครัวไปเมื่อ 60 ปีก่อนนั่นเอง

ความจริงที่ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือพ่อแท้ ๆ ของเขา ทำให้ ดร. กรูเบอร์ ช็อกอย่างรุนแรงจนหัวใจวายและเสียชีวิตทันที

ฉากจบ: การเดินทางครั้งใหม่

รถพยาบาลมารับร่างของ ดร. กรูเบอร์ไป ตอนนี้ แซนดี้ ได้เห็นกับตาแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดของจอห์นเป็นความจริง เธอตัดสินใจที่จะทิ้งทุกอย่างและออกเดินทางไปกับเขา

ภาพยนตร์จบลงที่จอห์นและแซนดี้นั่งอยู่ในรถบรรทุกของเขา ขับรถออกไปในความมืด เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในที่แห่งใหม่ ทิ้งอดีตและโศกนาฏกรรมไว้เบื้องหลังอีกครั้ง.

ความนิยมและปรากฏการณ์ “หนังนอกกระแส”

The Man from Earth ไม่ใช่หนังที่ทำเงินถล่มทลายใน Box Office แต่กลับสร้างชื่อเสียงและฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ผ่านการ “บอกต่อ” (Word-of-mouth) และการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต มันได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์และผู้ชมว่าเป็นภาพยนตร์ไซไฟเชิงปรัชญาที่ชาญฉลาดที่สุดเรื่องหนึ่ง บทภาพยนตร์ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของนักเขียนบทไซไฟระดับตำนานอย่าง เจอโรม บิกซ์บี (ผู้เขียนบท Star Trek และ The Twilight Zone) คือหัวใจสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอมตะสมชื่อ

ข้อคิดและสิ่งที่ได้จากภาพยนตร์

  1. ประวัติศาสตร์คือมุมมองของผู้ชนะ: จอห์นเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากมุมมองของผู้ที่ “อยู่ที่นั่นจริงๆ” ซึ่งหลายครั้งขัดแย้งกับสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในตำรา หนังชวนให้เราตั้งคำถามว่า สิ่งที่เราเรียนรู้และเชื่อกันมานั้นเป็นความจริงทั้งหมดหรือไม่?
  2. การปะทะกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับความเชื่อ: หนังแสดงให้เห็นการโต้เถียงที่น่าทึ่งระหว่างหลักฐานเชิงประจักษ์กับความเชื่อส่วนบุคคล โดยเฉพาะในประเด็นทางศาสนา มันท้าทายให้ผู้ชมสำรวจว่า “ความจริง” ของเราตั้งอยู่บนรากฐานของอะไร
  3. พลังของเรื่องเล่า: แก่นของหนังคือพลังในการ “เล่าเรื่อง” เรื่องราวของจอห์นมีพลังมากพอที่จะสั่นคลอนโลกทั้งใบของเหล่าผู้ฟัง มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าสามารถเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความเชื่อ และแม้กระทั่งเปลี่ยนชีวิตคนได้
  4. ความเป็นมนุษย์คืออะไร?: การเฝ้ามองประวัติศาสตร์มาตลอด 14,000 ปี ทำให้จอห์นมีมุมมองต่อความเป็นมนุษย์ที่ลึกซึ้ง เขาเห็นทั้งความงดงามและความโหดร้าย วงจรของการเกิดและการทำลายล้าง หนังชวนให้เราครุ่นคิดถึงธรรมชาติของมนุษย์และเวลาอันแสนสั้นที่เรามีอยู่บนโลกใบนี้

The Man from Earth คือภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับคนที่รักการขบคิดและตั้งคำถาม เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหนังไซไฟที่ดีไม่จำเป็นต้องมีฉากแอ็คชั่นตระการตา แต่ขอเพียงแค่มี “ไอเดีย” ที่ทรงพลัง ก็สามารถพาผู้ชมเดินทางไปได้ไกลเกินขอบเขตของจินตนาการ


เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....